จัดการแปลงเกษตร 10 ไร่ สู้ภัยแล้ง หมุนเวียนกักเก็บน้ำฤดูฝน แก้ขาดแคลนน้ำยุคโลกรวน

เรื่อง พลรวัฒน์ ดวงเข็ม ,สกุลรัตน์ สองจันทร์  

ภาพประกอบ ดร.จตุพร เทียรมา

วันนี้มีทั้งฝน มีทั้งน้ำ บางพื้นที่ท่วม บางพื้นที่น้ำมาก แต่เมื่อผ่านช่วงฤดูฝนไปกับพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ ต้องประสบกับปัญหาน้ำแล้ง ไม่เพียงพอให้ทำการเกษตร สัตว์เลี้ยงขาดแคลนน้ำ เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุกปี คำถาม คือ ปริมาณฝนที่ตกลงมาไม่เพียงพอ หรือ เราไม่ได้ออกแบบ วางแผน จัดการกักเก็บน้ำไว้ใช้ อย่างเพียงพอกันแน่ สำหรับงานเขียนชิ้นนี้จะชวนคุณผู้อ่านไปดูแปลงเกษตร ที่เขาสามารถปลูกข้าวในฤดูฝน และมีไม้ผลหลากหลายชนิดไว้ขายสร้างรายได้ในช่วงฤดูแล้ง แถมในแปลงเกษตรยังไม่ขาดแคลนน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหลัก ๆ ที่จะทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชอะไรก็ได้ และยังมีรายได้หมุนเวียนเข้ามา จากการทำกิจกรรมทางการเกษตรตลอดสลับหมุนเวียนกันไป ถึงแม้ช่วงฤดูแล้งจะไม่มีน้ำฝนลงมาเติม ก็สามารถอยู่ได้ และมีน้ำไว้ใช้อย่างเพียงพอแน่นอน ด้วยการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

จริง ๆ มันเป็นศาสตร์ที่มีมาอยู่แล้ว ผมแค่จับมาประกอบเข้าด้วยกันเฉย ๆ บทสนทนาเริ่มต้นที่ ดร.จตุพร เทียรมา ด้านหนึ่งเป็นอาจารย์สอนนิสิตนักศึกษา จากสาขาวิชาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่ในวันนี้บทบาทของอาจารย์ คือ ลุงมะโหนก แห่งสวนลุงโหนกนานาพรรณ   อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นแปลงเกษตรพื้นที่ 10 ไร่ ที่เมื่อก่อนก็ทำการเกษตรกรปลูกข้าวทั้งหมดเลย 10 ไร่ที่มี และค่อย ๆ เรียนรู้ ค้นหาศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มาปรับปรุงใช้ในแปลงเกษตรแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำ ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าเป็นปัจจัยหลักและสำคัญอย่างยิ่งต่อการปลูกพืช ทำการเกษตรของเกษตรกรทุกคน และยังเป็นการพยายามแก้โจทย์ที่เกษตรกรบ้านเราเจอมา คือ การมีน้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรโดยเฉพาะในฤดูแล้ง วันนี้เขาได้เปิดแปลงเกษตรที่ผ่านการทดลอง เก็บข้อมูล จัดสรร ออกแบบ วางระบบ จนสามารถกลายเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการแปลงให้กับเกษตรกรคนอื่น ๆ ได้ ต้นแบบของการใช้พื้นที่การเกษตร อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นต่อความ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอีกด้วย 

ศาสตร์ที่อาจารย์จตุพร กำลังกล่าวถึง คือ ศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรดิน น้ำ ที่มีอยู่เดิมแต่มักจะถูกแยกส่วนกัน ในการศึกษาและปฏิบัต เช่น การจัดการน้ำ การจัดการดิน และการจัดการพืชไร่ ซึ่งแต่ละด้านก็มีการจัดการที่แตกต่างออกไป เกษตรกรบ้านเราต้องเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ  การพึ่งพาน้ำจากฝน อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของฤดูกาล เช่น ฝนทิ้งช่วง น้ำท่วม น้ำหลาก หรือ ภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้วิถีการเกษตรแบบเดิม ไม่สามารถตอบโจทย์ การการทำการเกษตรได้อีกแล้ว เกษตรกรจึงต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะจัดการทรัพยากรในพื้นที่ของตนเอง อย่างรอบด้านและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

สวนลุงโหนกนานาพรรณ แปลงเกษตรที่ปลูกพืชได้หลากหลาย มีน้ำใช้ตลอดปี

เนื้อที่ 10 ไร่ เริ่มปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวทั้งหมด ลดลงเรื่อย ๆ จาก 6 ไร่ เป็น 3 ไร่ ตอนนี้เหลือพื้นที่สำหรับการปลูกข้าวเพียง 3 งาน แค่นี้ก็มีข้าวกินเพียงพอต่อครอบครัวที่มีคนอาศัยอยู่ 3 – 4 คน พื้นที่นาลดลงแต่พื้นที่สำหรับการกักเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น มีสระขนาดใหญ่ประมาณ 1 ไร่ ลึกประมาณ 4 เมตร จำนวน 1 ลูก และมีคลองเก็บน้ำขนาดเล็กอีก ประมาณ 5 – 6 คลอง และมีคลองลำเลียงส่งน้ำเชื่อมต่อเข้าหากันอีก 1 คลอง เพื่อให้เกิดการกักเก็บน้ำหลากหลายรูปแบบ โดยสระใหญ่จะถูกน้ำเติมเข้ามาจากคลองเล็กในฤดูแล้ง ส่วนคลองเล็กจะกักเก็บน้ำที่เอ่อล้นจากสระใหญ่ในช่วงฤดูฝน เกิดเป็นระบบที่หมุนเวียนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ นอกจากข้าวแล้วในสวนยังสามารถปลูกพืชนานาชนิด ทั้งส้มโอ มะม่วง กล้วย ชมพู่ ไปจนถึงพืชผักสวนครัว ที่สลับกันออกดอกผลให้ได้เก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี

การขุดสระเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง เมื่อถึงฤดูฝน น้ำส่วนเกินก็จะระบายเข้าสู่สระ พอหน้าแล้งก็สูบน้ำกลับมาใช้ในแปลงพืชสวนอีกที  

ดร.จตุพร เทียรมา เจ้าของสวนลุงโหนกนานาพรรณ

เจ้าของสวนลุงโหนกนานาพรรณ กล่าวว่า กระจายความเสี่ยงผ่านการเพาะปลูกพืชที่หลากหลายเพื่อรับมือ กับความไม่แน่นอนของฤดูกาล การปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกันเช่นนี้ ไม่เพียงช่วยให้มีผลผลิตหมุนเวียน ตลอดทั้งปี แต่ยังช่วยสร้างรายได้ในแต่ละช่วงเวลาแตกต่างกันออกไป เช่น ชมพู่ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ปีละ 4 รอบ แต่ละรอบได้ผลผลิตประมาณ 60 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 50 บาท ก็ถือเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอในแต่ละปี

ดร.จตุพร เทียรมา เจ้าของสวนลุงโหนกนานาพรรณ

 3 ปีแล้ง 4 ปีท่วม โลกรวนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก กระทบเกษตรกรอีสานโดยตรง

ดร.จตุพร กล่าวว่า เดี๋ยวแล้ง เดี๋ยวท่วม ปรากฎการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ความแปรปรวนของสภาพอากาศมีความถี่และทวีความรุนแรงมาก ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากสภาวะโลกร้อน (Climate Change) เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบลม มวลไอน้ำ และความกดอากาศ จนนำไปสู่ฝนตกหนักอย่างเฉียบพลันในบางพื้นที่ ขณะที่บางพื้นที่กลับไม่มีฝนตกเลย มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจว่า “ภาวะโลกร้อน” หมายถึง สภาวะที่ฝนตกน้อยลง เมื่อพิจารณาจากข้อมูล ปริมาณน้ำฝนในภาคอีสานตลอดช่วง 3–5 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่า  ปริมาณน้ำฝนรวมทั้งปีแทบไม่ลดลง จากอดีตเลย ในบางปีกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ จากการเก็บสถิติปริมาณฝนตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องบนแปลงเกษตรแห่งนี้ พบว่า ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีประมาณ1,200–1,300 มิลลิเมตรและไม่เคยมีปีไหนที่ต่ำกว่า 1,200 มิลลิเมตรเลย 

ปริมาณน้ำฝนเท่าเดิม แต่พฤติกรรมเปลี่ยนจากการตกแบบถี่และเบา เป็นการตกแบบน้อยครั้งแต่ตกหนัก

ดร.จตุพร กล่าวว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญไม่ใช่ปริมาณของน้ำฝน แต่เป็นพฤติกรรมของฝน โดยเฉพาะจำนวนครั้งที่ฝนตกซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อ 7–8 ปีที่ผ่านมา ที่ฝนตกเฉลี่ยประมาณ 84 ครั้งต่อปี แต่ในปีล่าสุดกลับลดลงเหลือเพียง 45 ครั้งเท่านั้น หรือ ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนการตกเดิม ลักษณะการตกของฝนในปัจจุบันจึงเปลี่ยนจากลักษณะการตกแบบถี่และเบาเป็นการตกแบบน้อยครั้ง แต่ตกหนัก โดยเป็นการตกแบบกระจุกตัวในช่วงสั้น ๆ แล้วเว้นช่วงห่างออกไปหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ก่อนจะตกหนักอีกครั้ง ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อพืชผลที่ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะข้าวและพืชไร่ การที่ฝนตกหนักเพียงไม่กี่ครั้งในช่วงฤดูเพาะปลูก อาจทำให้ต้นกล้าเสียหาย จากน้ำท่วมฉับพลัน หรือในทางกลับกัน หากฝนเว้นช่วงนานเกินไป พืชก็อาจขาดน้ำจนไม่สามารถเติบโต ได้เต็มที่ ความไม่แน่นอนเช่นนี้ไม่เพียงเป็นภัยคุกคามต่อผลผลิต แต่ยังสะเทือนต่อเนื่องไปถึงระบบเศรษฐกิจ ในระดับครัวเรือนและอาจลุกลามเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการเกษตรต่อไปอีก

ตรวจวัด เก็บข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในแปลงเกษตร

ดร.จตุพร กล่าวว่า แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นมิติของการปลูกพืชที่หลากหลาย การขุดสระเก็บน้ำ หรือการปรับพื้นที่ให้สอดรับกับธรรมชาติ ก็ล้วนเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้วว่า จำเป็นต่อการรับมือกับภาวะโลกร้อนและความแปปรวนของสภาพอากาศ โดยแนวคิดดังกล่าวยังสอดคล้องกับ แนวคิดระบบนิเวศการเกษตร (Agroecology) ซึ่งเน้นการออกแบบระบบการผลิตทางการเกษตร ให้หลากหลายและสอดคล้องกับธรรมชาติ โดยไม่แยกการจัดการทรัพยากรออกจากกัน อีกหัวใจสำคัญคือ การจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ที่มองพื้นที่การเกษตรเป็นระบบที่เชื่อมโยงองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งการวางตำแหน่งของพืชพรรณในสวนหรือขุดร่องระบายน้ำไว้ทุกส่วนล้วนแต่เป็น การจัดการพื้นที่ร่วมกับการวางแผนระบบการใช้น้ำ ถือเป็นการเวียนใช้น้ำที่มีระบบโดยไม่จำเป็นต้อง รอฟ้าฝนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ชมคลิปที่นี่ https://www.facebook.com/share/v/16c3PW84C7/