Ancestor Spirit

ผีปู่ตา ความเชื่อคนอีสานกับวัฒนธรรมนับถือผี กุศโลบายเพื่ออนุรักษ์และสร้างสามัคคีชุมชน

หากจะกล่าวถึงสิ่งที่อยู่คู่กับคนอีสานมาอย่างช้านาน คงปฎิเสธไม่ได้ในเรื่องของประเพณี จารีต ศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อ เพราะภาคอีสานถือได้ว่าเป็นแหล่งวัฒนธรรมเก่าแก่ที่มีทั้ง ประเพณี ฮีตคอง ตำนานและพิธีกรรมที่สะท้อนความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเชื่อมโยงส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น  นอกจากนี้ในภาคอีสานเองยังมีความหลากหลายในเรื่องของความเชื่อ พิธีกรรม ที่มักจะมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม แม้พิธีกรรมและรูปแบบภายนอกจะมีความแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่คนอีสานยังคงให้ความสำคัญและนับถือคล้าย ๆ กัน นั่นคือ การเคารพบูชาผีบรรพบุรษ 

หลายชุมชนในภาคอีสานที่ยังคงยึดถือความเชื่อเรื่องผี โดยเฉพาะผีในกลุ่มที่มีพลังในการปกป้องคุ้มครองหรือสามารถบันดาลพรให้ได้สมปรารถนาได้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างศาลขึ้น โดยมีลักษณะเรียบง่ายคล้าย ๆ ศาลเพียงตา ที่จะใช้โครงไม้สี่เสา แล้วมุงหลังคาด้วยวัสดุพื้นถิ่น จากนั้นจะมีการอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มาสถิต ณ ที่แห่งนี้ เพื่อปกปักรักษาลูกหลาน โดยจะเรียกสถานที่แหล่งนั้นว่า ดอนปู่ตา หรือ ดอนผีปู่ตา

ศาลปู่ตา ตามความเชื่อชาวอีสาน

ดอนปู่ตา หรือ ดอนผีปู่ตา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน แหล่งรวมใจลูกหลาน ชาวบ้านในชุมชน

คนอีสานนั้นนับถือและเชื่อเรื่องของดอนปู่ตามานานนับร้อยปีหรืออาจมากกว่านั้น โดยคนในชุมชนมักเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษที่เคยมาอาศัยหรือในชุมชนและเป็นกลุ่มคนที่สร้างบ้านตั้งเมืองเป็นกลุ่มแรก ตามธรรมเนียมนั้น ศาลปู่ตามักตั้งอยู่บริเวณ ดอน หรือ เนินสูง ๆ ที่มักอยู่ในป่าศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งป่าแห่งนี้จะถือเป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้ใครไปตัดไม้ หาของ หรือทำกิจกรรมที่อาจเป็นการลบหลู่ เพราะเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณบรรพบุรุษและผีปู่ตา ชาวบ้านจะมากราบไหว้บูชา โดยของเซ่นที่สำคัญคือ หัวหมู ไก่ต้ม และเหล้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการให้เกียรติแก่ผีบรรพบุรุษ

บ้านหนองคู ตำบลพระยืน จังหวัดขอนแก่น ก็มีดอนปู่ตา ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชน ที่ทุกคนจะต้องเคารพนับถือและกราบไหว้เป็นประจำ ราวกับเป็นขนบธรรมเนียมและจารีตที่ต้องปฏิบัติต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น นานกว่า 100 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและชวนให้ใจเต้นเพราะความกลัวอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้เขียน เพราะไม่ใช่เพียงแค่ชื่อที่ไม่คุ้นหูเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงบรรยากาศในการไหว้ผีที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

เช้าตรู่ในวันพุธสุดท้ายของเดือนที่ดอนปู่ตานั้น จะเต็มไปด้วยต้นไม้ลักษณะเรียวสูงปกคลุมอยู่รอบบริเวณ จนทำให้พื้นที่แห่งนี้มีร่มเงาอยู่ตลอดทั้งวัน ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบราวกับต้องมนต์ขลังจนผู้เขียนเองต้องยกมือไหว้ในทุก ๆ จุดที่เดินผ่าน ไม่นานนักก็มีชาวบ้านทั้งชายหญิง คนเฒ่าคนแก่ หรือแม้กระทั่งหนุ่มสาววัยทำงาน ถือตระกร้าที่ภายในบรรจุด้วยไก่ต้มที่มาทั้งตัวบ้าง หัวหมูบ้าง พร้อมกับเหล้าขาวอีกคนละขวด ในพิธีไหว้จะมีปู่จ้ำหรือพ่อจ้ำ ทำหน้าที่นำของไหว้วางไว้บนตูบและบอกกล่าวเจตนาของคนมาไหว้ ปู่จ้ำหรือพ่อจ้ำ ว่ากันว่าเป็นคนที่ ปู่ (ผีบรรพบุรุษที่ดอนปู่ตา) เลือกให้เป็นผู้สื่อสารระหว่างตนเองกับลูกหลานที่มากราบไหว้ ในบางพื้นที่ก็มีการทำพิธีเพื่อให้ปู่เป็นคนเลือก หรือ ในบางพื้นที่ก็เลือกกันตามคนที่สะดวก ขั้นตอนในการไหว้ไม่ได้มีพิธีกรรมอะไรมากเท่าไรนัก ใช้เวลาไม่นานไม่มีการจุดธูปไหว้และไม่มีบทสวดใด ๆ มีเพียงคำบอกเล่า ราวกับเป็นการบอกกล่าวปู่ย่าตายายผู้ล่วงลับให้ได้รับรู้ถึงการมาไหว้ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขอพร แก้บน หรือบอกกล่าวเรื่องราวในชีวิตให้ ปู่ตาได้รับรู้

ชาวบ้านเตรียมสิ่งของเพื่อไหว้ปู่ตา

พิธีไหว้จะต้องทำกันในพุธก่อนเวลาเที่ยงเท่านั้น เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นเวลาที่ผีจะสามารถมารับเอาของเซ่นไหว้ไปกินได้ เมื่อวางของไหว้ไว้บนตูบเรียบร้อย พ่อจ้ำจะจุดเทียน 2 เล่ม รอจนกระทั่งเทียนลดลงในระดับหนึ่ง จึงมีการนำของไหว้ออกมาจากตูบ ถือเป็นอันเสร็จพิธี

ลูกหลานสิออกเดินทางไปทำมาหากิน ประกอบอาชีพ ขอให้ร่ำรวย อย่าเจ็บ อย่าไข้ เด้อปู่เอ้ย…

พ่อชาลี พรมกัลป์ พ่อจ้ำประจำดอนปู่ตาที่บ้านหนองคู

เสียงเอยขอพร จากชาวบ้านดังมาเคล้ากับกลิ่นขวัญเทียนที่ดับลง มันไม่ใช่การขอพรในเรื่องที่ใหญ่โตมากนัก ฟัง เพลินๆ เหมือนกับการขอพรกับญาติผู้ใหญ่ เมื่อเราจะเริ่มไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง พ่อจ้ำ หรือ พ่อชาลี พรมกัลป์ พ่อจ้ำประจำดอนปู่ตาที่บ้านหนองคู เล่าว่าคนในหมู่บ้านมักจะมาขอพรกับปู่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งปู่เองก็มักจะดลบันดาลให้ดังหวังเสมอ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง สุขภาพและการสอบแข่งขัน

คำสอน เสโส อายุ 85 ปี ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี้นับตั้งแต่สมัยตั้งบ้านหนองคู คุณยายเล่าว่าดอนปู่ตามีมานานมากแล้ว ตั้งแต่ยายจำความได้ก็เห็นคุณพ่อคุณแม่พากราบไหว้และเคารพบูชาดอนปู่ตา คุณยายยังเล่าอีกว่า ดอนปู่ตาคือสิ่งที่บรรพบุรุษนับตั้งแต่ยุคสร้างบ้านตั้งเมืองที่ชุมชนนี้ หลังจากนั้นจึงมีการอัญเชิญพระอาจารย์ให้มาปกปักรักษาคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงมีการสร้างตูบ หรือ กระต๊อบเล็ก ๆ ไว้ที่ป่าของชุมชน

ดอนปู่ตาก็คือพระภูมิเจ้าที่ที่จะค่อยปกปักรักษาและคุ้มครองบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า เพิ่น (บรรพบุรุษ) จะเชิญปู่มาอยู่ชื่อว่าหลวงปูโส เพิ่นกะเลยเชิญมาให้คุ้มครองชาวบ้านชาวเมือง

คำสอน เสโส

ดอนปู่ตาสำหรับชาวบ้าน คงเปรียบเสมือนเป็นปู่ย่าตายายหรือญาติบรรพบุรุษที่คนในชุมชนต่างกราบไหว้และเคารพนับถือ ความเชื่อความศรัทธาอาจเป็นเรื่องแรกที่ถูกปลูกฝัง แต่หลังจากนั้นอาจเป็นเรื่องของความรู้สึกและความสบายใจที่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องราว หรือเหตุการณ์ในชีวิตให้ญาติผู้ใหญ่ฟังเสียมากกว่า

คำสอน เสโส อายุ 85 ปี ชาวบ้านหนองคู ตำบลพระยืน จังหวัดขอนแก่น

เชื่อ ศรัทธา สักการะ กับกุศโลบายปกป้องทรัพยากรชุมชน และศูนย์รวมสร้างความผูกพันสามัคคีในชุมชน

เรื่องเล่าของดอนปู่ตานั้นไม่เพียงสะท้อนศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังแฝงไปด้วย กุศโลบายทางสังคมที่ใช้พลังของความศรัทธาของมนุษย์มาเป็นเครื่องมือทางสังคมอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างความเชื่อที่ว่าปู่ตาจะลงโทษผู้ละเมิดป่าของปู่ จนทำให้คนเกรงกลัวและไม่กล้าตัดไม้หรือทำลายสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ป่าชุมชนได้รับการปกป้องอย่างเป็นธรรมชาติ

โดยปกติแล้ว คนอีสานนั้นจะมีความผูกพันกับป่ามาตั้งแต่โบราณกาล เนื่องจากป่านั้นเปรียบเสมือนแหล่งอาหาร แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณที่หล่อหลอมวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ของคนอีสานไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ป่าที่เคยเป็นพื้นที่แห่งอารยาธรรมกลับกำลังคุกคามจากการทำลายเพิ่มขึ้น ทั้งกลไกเศรษฐกิจ ทุนนิยมและอำนาจรัฐ ชาวบ้านจึงสร้างกลไกทางความเชื่อขึ้นมาเพื่อคุ้มครองป่า ผ่านเรื่องเล่าของภูตผี สิ่งเหนือธรรมชาติและอำนาจของผีบรรพบุรุษ เพื่อให้ลูกหลานทุกคนเคารพและปฏิบัติตามต่อ

คุณยายเล่าอีกว่า ทุกคนในชุมชนรู้ว่าพื้นที่ดอนปู่ตาถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ใครก็ตามที่จะเข้าไปหาของป่าหรือตัดไม้ต้องบอกกล่าวและขออนุญาตปู่ตาก่อน หากละเมิดโดยไม่เคารพ จะต้องได้รับบทลงโทษไม่ทางกายก็ทางใจ  บ้างป่วยไข้ บ้างประสบเหตุร้ายที่หาคำตอบไม่ได้ก็มี

เมื่อเราเชิญเพิ่น (ปู่ตา) มาแล้ว เราก็สร้างตูบไว้ให้เพิ่น สร้างไว้ที่ดอนป่าชุมชนนั้นล่ะ ใครจะไปตัดไม้หรือล่าสัตว์บ่ได้ เพราะถือว่าเป็นของปู่ตาแล้ว ต้องขอเพิ่นก่อน บ่งั้นล่ะป่วย ไม่มีใครรอดสักคน

คำสอน เสโส

คำบอกเล่าของคุณยายทำให้ผู้เขียนนึกถึงวัฒนธรรมอีสานที่มักจะใช้ ความเชื่อมาเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมคนในสังคม เช่น ความเชื่อเรื่องผีที่ออกหากินกลางคืน ถูกใช้เป็นเหตุผลไม่ให้คนเดินเพ่นพ่านยามวิกาล หรือความเชื่อเรื่อง ผีลักซ่อน ที่ผู้ใหญ่เล่าขานเพื่อห้ามไม่ให้เด็กเล่นซ่อนหาในตอนค่ำ เพราะอาจทำให้หาตัวไม่เจอ ความเชื่อเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม คะลำ หรือสิ่งต้องห้าม สิ่งละเว้น ที่แม้ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่หากฝ่าฝืนก็จะถือว่าผิดจารีตและกลายเป็นคนไม่น่าคบหา

“คะลำ” ไม่ใช่เพียงความเชื่อไร้เหตุผลแต่เป็นกุศโลบายในการจัดระเบียบทางสังคมและปลูกฝังความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่นเดียวกับบทบาทของดอนปู่ตาที่กลายเป็นกลไกทางสังคมในการปกป้องป่าชุมชน เพราะหากคนยังเกรงกลัวและเคารพผีปู่ตาจนไม่กล้าทำลายป่า ก็อาจจะช่วยกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ ทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่า อันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของผู้คนในชุมชนต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อกระแสทุนนิยมและการพัฒนาเศรษฐกิจขยายตัว ป่าชุมชนหลายแห่งถูกทำลายเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ตั้งแต่การล่าสัตว์ หาของป่า ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นนิคมอุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงลดทอนจำนวนป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังคงบั่นทอนรากฐานทางวัฒนธรรมที่เคยทำหน้าที่คุ้มครองวิถีชีวิตของคนในชุมชนด้วย เมื่อป่าถูกคุกคามด้วยแรงกดดันจากเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม แนวคิดการอนุรักษ์แบบดั้งเดิมเช่นนี้มักจะกลับมาสะท้อนถึงความเชื่อท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพหรือรักษารากเหง้าอันดีงามไว้ โดยไม่พึ่งพากฎหมายหรือแนวคิดอนุรักษ์นิยมใด ๆ เพราะมันคือการใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่และสามารถนำมาปรับใช้กับการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมสมัยได้

ดอนปู่ตา วัฒนธรรมไหว้ผีกับความอยู่รอดในยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี

ใครจะว่ายังไงก็ช่างเพราะเรานับถือของเราแล้ว เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล” พ่อชาลี พรมกัลป์ พ่อจ้ำประจำดอนปู่ตาที่บ้านหนองคู เป็นคำแรกที่ พ่อชาลี พรมกัลป์ เอยขึ้นหลังจากที่ผู้เขียนตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของดอนปู่ตากับคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งเปรียบเสมือนการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมผีในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนความเชื่อเหล่านี้จึงไม่อาจวัดด้วยมาตรฐานสมัยใหม่ได้อีก จนถือเป็นเรื่องราวของศรัทธาที่ฝังแน่นในวิถีชีวิตของแต่ละชุมชน หากมองผ่านกรอบแนวคิดเรื่องเล่าผีร่วมสมัย เราจะเห็นได้ว่าดอนปู่ตาเป็นร่องรอยของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ยังคงยืนหยัด แม้จะถูกห้อมล้อมด้วยโลกสมัยใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยเทคโนโลยี ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ และแรงกดดันจากภายนอกที่มักตั้งคำถามต่อสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ ผู้เขียนมองว่าคำตอบของพ่อจ้ำนั้นไม่ใช่การปกป้องความเชื่อเก่าแก่หรือเป็นเพียงความเชื่อความงมงาย แต่มันยังเป็นกลไกในการต่อรองกับโลกยุคใหม่ คล้ายกับเรื่องเล่าผีในสังคมร่วมสมัยที่ยังคงผสมผสานระหว่างผีแบบโบราณกับผีที่ปรากฏในฉากชีวิตสมัยใหม่ ความเชื่อเรื่องผี โดยเฉพาะการห้ามลบหลู่และการเคารพต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ปรากฏอย่างชัดในถ้อยคำของพ่อจ้ำ แม้จะไม่มีพิธีกรรมที่ซับซ้อนไม่มีพิธีรีตองที่วุ่นวาย แต่การยืนยันในเรื่องส่วนบุคคลนี้ ก็ทำให้ความเชื่อเรื่องดอนปู่ตา ยังคงมีพื้นที่ทางสังคมของตนเองได้ ในอีกด้านหนึ่งความเชื่อดั้งเดิมนี้ก็ไม่เคยแยกขาดจากพุทธศาสนา เพราะในหลายชุมชนการไหว้ผีและการทำบุญในพระพุทธศาสนายังเป็นสิ่งที่ดำเนินคู่ขนานกันอย่างแนบแน่น ผ่านเรื่องเล่าผ่านคำสอน

คือกันเบิ่ด (เหมือนกันหมด) ต้องอนุรักษ์รักษากันทุกคน ใครจะไม่เชื่อก็อย่าไปหลบลู่…..พ่อแม่พาทำพาไหว้อันไหนดีก็ให้ทำตาม เหมือนบุญข้าวสากนั้น ถ้าบ่ไปเลี้ยงบ่เอาข้าวไปให้พ่อแมเพิ่นจะได้ถือตระกร้าเปล่ากลับ

ชาลี พรมกัลป์ พ่อจ้ำประจำดอนปู่ตาที่บ้านหนองคู

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ความเชื่อหรือความศรัทธาไม่ได้อยู่ในรูปแบบของพิธีกรรม เพราะมันคือการผูกโยงกับค่านิยมของการเคารพและการสืบสานต่อ ๆ กันจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านคำเกล่าคำสอนที่หากลูกหลานไม่ปฏิบัติตาม ย่อมหมายถึงการขาดการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ 

อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความเชื่อหรือปรากฎการณ์บางอย่างสามารถตอบได้ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ความเชื่อเรื่องผีกลับไม่ได้หายไปพร้อมกับความทันสมัย ตรงกันข้ามเราจะเห็นได้ว่า ความเชื่อเรื่องผีถูกปรับให้เข้าไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ ทั้งการเล่าเรื่องบนโซเชียลมีเดียที่ทำให้พิธีกรรมหรือความเชื่อถูกเผยแพร่ในวงกว้าง การสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับตำนานผีเพื่อความบันเทิง ตลอดจนการนำตำนานความเชื่อมาตีแผ่ในเชิงวัฒนธรรม ผ่านการแสดงนาฏยศิลป์ในรูปแบบต่าง ๆ

ชาลี พรมกัลป์ พ่อจ้ำประจำดอนปู่ตาที่บ้านหนองคู

บทบาทดอนปู่ตาในสังคมยุคใหม่กับโลกปัจเจกบุคคลในยุคดิจิทัล

เมื่อเราตั้งคำถามถึงบทบาทและความสำคัญของดอนปู่ตา เราก็จะเห็นถึงความศรัทธาที่ไม่ได้ถูกผูกขาดไว้โดยวัด ศาสนาหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แต่กระจายตัวออกไปยังพื้นที่เฉพาะกลุ่มและพื้นที่กลางของความศรัทธา กรณีของดอนปู่ตา เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ความเชื่อความศรัทธาไม่ได้มีบทบาทเพียงในเชิงจิตวิญญาณแต่ยังทำหน้าที่เป็นกุศโลบายทางสังคม ที่สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนอีสานหรือข้อห้ามที่ผูกพันกับผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันจึงไม่ใช่ความงมงายหากแต่เป็นกลไกควบคุมพฤติกรรมของคนในชุมชน เช่นเดียวกับที่ผีปู่ตาที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อปกป้องป่าชุมชน นั้นคือการใช้พลังของความศรัทธาในการสร้างระเบียบทางสังคมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อมองในเชิงวิชาการ กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึง นิเวศวัฒนธรรม หรือชุมชนที่สามารถใช้ทุนทางความเชื่อและพิธีกรรมมาปรับใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยไม่ต้องพึ่งกลไกกฎหมายเพียงอย่างเดียว ความเชื่อเหล่านี้จึงกลายเป็น เหมือนต้นทุนทางสังคม ที่ชาวบ้านนำมาใช้เพื่อช่วยปกป้องทรัพยากรและสร้างความรับผิดชอบตามกลไกความเชื่อที่จะทำหน้าที่คุ้มครองวิถีชีวิตของชุมชนไปด้วย ดังนั้นการหวนกลับมามองวัฒนธรรมดอนปู่ตาในยุคนี้ จึงเปรียบเสมือนการหยิบเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเป็นฐานคิดใหม่ในการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมสมัย ไม่ใช่การยึดติดกับความเชื่อโบราณ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมไหว้ผีในยุคปัจจุบัน กลับกันมันอาจจะกลายเป็นการสร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับความเชื่อ ความศรัทธาที่จะกลับมาเป็นสะพานเชื่อมที่ช่วยให้ชุมชนยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม หากวัฒนธรรมไหว้ผี อย่างดอนปู่ตาจะยังคงอยู่ต่อไปได้พร้อมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีนั้น คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรักษาพิธีกรรมดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องเกิดจากการปรับเปลี่ยนและตีความใหม่ให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคปัจจุบัน เราอาจเห็นได้จากการที่คนรุ่นใหม่ยังคงเลือกหรือใช้วัตถุมงคลเป็นสัญลักษณ์แทนการผูกพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมชุมชนอย่างเคร่งครัดเหมือนในอดีต แต่การกระทำเช่นนี้สะท้อนว่าความเชื่อในรูปแบบเก่า ๆ ถูกย้ายจากพื้นที่สาธารณะของชุมชน ไปสู่ในรูปแบบของพื้นที่ส่วนบุคคลมากขึ้น แม้จะยังคงมีพลังในฐานะเครื่องมือสร้างความมั่นคงทางจิตใจ (ที่พึ่งทางใจ) แต่เมื่อตัดสลับมามองภาพใหญ่อย่างปรากฏการณ์ “มูเตลู” ที่กำลังได้รับความนิยมในสังคมไทยตอนนี้ ก็เป็นอีกตัวอย่างที่บ่งชี้ว่า ความศรัทธาในเรื่องผี เรื่องเทพหรือเรื่องสิ่งหลี่หลับเหนือธรรมชาตินั้นไม่เคยหายไปพร้อมกับความทันสมัยเลย ตรงกันข้ามมันกลับถูกปรับให้อยู่ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ชีวิตในโลกปัจเจกนิยมและโลกดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านออนไลน์ การสร้างคอนเทนต์เล่าตำนานผีใน TikTok หรือการนำเรื่องเล่าความเชื่อไปผสมกับการแสดงนาฏยศิลป์สมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนถึงการเดินทางของวัฒนธรรมไหว้ผีที่ยังหาช่องทางดำรงอยู่ในโลกที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังครอบงำได้อย่างสมบูรณ์