One day trip ภูผาม่าน ชมวัดเฉลียงทอง วัดเก่าแก่คู่ชุมชน กินต้มไก่บ้าน น้ำพริกผักลวกแซบหลาย

ช่วงหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงนี้ หลายคนคงมีแพลนเที่ยวกันไว้แล้วแม่นบ่น้อ? บางคนอาจมีแพลนว่าจะกลับบ้านไปหาครอบครัว บางคนตั้งใจไปพักผ่อนในสถานที่ใกล้ ๆ เมืองเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีแผน หรือกำลังลังเลอยู่ว่าจะออกไปเที่ยวดีหรือไม่…บทความนี้อาจช่วยเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นไอเดียให้คุณได้ออกเดินทางเพื่อไปสัมผัสธรรมชาติ สัมผัสวิวท้องนาและให้ภูเขาช่วยปลอบประโลมจิตใจที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน เพราะวันนี้ผู้เขียนและทีมจะขออาสาพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและจะพาทุกคนไปลัดเลาะ เที่ยวชมวิวทุ่งนา ทุ่งดอกไม้ กับที่นี้ “ภูผาม่าน”

ชมคลิป One day trip ภูผาม่าน

หลายคนอาจคุ้นเคยกับ ภูผาม่าน อำเภอเล็ก ๆ  อีกหนึ่งอำเภอในจังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 108 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถเพียงชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงเพราะที่นี้มักจะเป็นจุดเช็กอินยอดฮิตที่สำคัญของจังหวัด ทั้งคาเฟ่สุดชิล โฮมสเตย์วิวหลักล้าน หรือเช้าตรู่ที่หมอกบาง ๆ ปกคลุมผืนดินที่มีแนวภูเขาเป็นฉากหลัง เหมาะสำหรับใครที่อยากปลีกตัวจากความวุ่นวาย มาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ พักใจสักสองสามวัน แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ที่มีเวลาเที่ยวจำกัด จบวันหยุดปุ๊บก็ต้องกลับมาลุยงานต่อปั๊บเช่นนี้ ช่วงเวลาสโลว์ไลฟ์เหล่านั้นดูจะเกินเอื้อมไปอยู่สักหน่อย แต่เมื่อไม่นานมานี้ภูผาม่านกำลังจะเปิดตัวโปรเจกต์ท่องเที่ยวใหม่ในรูปแบบ One Day Trip ที่ออกแบบมาเพื่อคนมีเวลาน้อยโดยเฉพาะ ไม่ต้องลางาน ไม่ต้องวางแผนข้ามคืน แค่จัดกระเป๋าเบา ๆ แล้วออกเดินทางในเช้าวันหยุด ก็สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ ได้ครบในหนึ่งวัน เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ ผู้เขียนและทีมงานจึงไม่รอช้า รีบเก็บกระเป๋าออกเดินทางเพื่อไปสัมผัสเสน่ห์ของภูผาม่านในมุมใหม่ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสแทบจะทันที

“ฟาร์มคิด” คือจุดนัดพบแรกของทริปเช้าวันนี้ กลิ่นหอมของกาแฟอุ่น ๆ ผสานกับวิวเทือกเขาภูผาม่านตรงหน้า กลายเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้ร่วมทริปที่ทยอยมาถึง ต่างคนต่างจับกลุ่มสนทนาเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวในวันนี้ ทำให้เช้านี้ไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวัน

ไม่นานนัก พี่กุล หรือ คุณกุลชาติ เค้นา พร้อมทีมงานจาก วิสาหกิจชุมชนไทบ้านพัฒนา ซึ่งเป็นเจ้าของโปรแกรม One Day Trip ในครั้งนี้ ก็เริ่มอธิบายภาพรวมของกำหนดการคร่าว ๆ ให้พวกเราฟัง หลังจากทำความเข้าใจถึงเส้นทางและกำหนดการพอประมาณแล้ว เราทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง สู่การผจญภัยรูปแบบใหม่ที่จะพาไปรู้จัก ภูผาม่าน ให้เพิ่มมากขึ้น

ผู้เขียนและผู้ร่วมทริปราว 20 คน เริ่มทยอยกันเดินเป็นแถวไปขึ้น รถอีแต๋น ที่จอดรออยู่หน้าคาเฟ่ และแล้ว…ทริปของเราก็เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ

เสียงเครื่องยนต์ของรถอีแต๋นดังแว่วยาวไปตลอดเส้นทาง ล้อเหล็กกระทบกับพื้นดินขรุขระเป็นจังหวะพอให้ร่างกายของผู้เดินทางขยับไปมาตามเบาะที่สั่นไหว ในขณะเดียวกันที่รถอีแต๋นค่อย ๆ พาเราลัดเลาะผ่านวิวป่าเขียวขจี สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติ โฮมสเตย์หลังเล็ก ๆ โผล่ให้เห็นเป็นระยะ ดูเหมือนจะเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนอีกฝั่งคือภูเขาสูงตระหง่าน ที่ต่อให้เงยหน้าขึ้นจนสุดก็ยังมองไม่เห็นยอด  บอกได้เลยว่าเราอยู่ใกล้เขามากกว่าที่เคยจินตนาการไว้

สถานที่แรกที่เราแวะ คือ แปลงดอกทานตะวัน ซึ่งกำลังชูหน้ารับแสงอรุณอย่างสดใส ราวกับจะยิ้มทักทายผู้มาเยือน อากาศยามเช้าเย็นสบาย ไม่ร้อนเกินไปและไม่หนาวจนเกินไป ทำให้สีหน้าของผู้ร่วมทริปแต่ละคนดูสดใส ยิ้มแย้ม พร้อมเสียงหัวเราะของผู้ร่วมทริป ก่อนเสียงชัตเตอร์จะดังลั่นเป็นสัญญาณว่าเราได้เก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ ณ ที่แหล่งนี้เรียบร้อยแล้ว ภาพดอกทานตะวันเหลืองอร่ามเรียงรายเป็นฉากหน้า มีเทือกเขาอยู่เบื้องหลังราวกับฉากหนังธรรมชาติที่สวยงามเกินจะบรรยาย เมื่อเราเก็บภาพกันจนจุใจแล้ว เราก็ขึ้นรถอีแต๋นอีกครั้งเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายถัดไปของทริป

วัดเฉลียงทอง จุดหมายที่สองของเราในทริปนี้ วัดเก่าแก่คู่ชุมชนที่ตั้งอยู่ในอำเภอภูผาม่าน ที่นี่ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านแต่ยังเป็นสถานที่ที่เก็บรักษาวัตถุโบราณและหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญ อย่างใบเก็บส่วย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งบันทึกข้อมูลการเก็บภาษีลงในใบลานอย่างละเอียด ทั้งชื่อผู้จ่าย ปริมาณส่วย และอัตราภาษีอากรในแต่ละปีและเมื่อเราเดินลึกเข้ามาในบริเวณวัด สิ่งที่ไม่อาจละสายตาไปได้เลย คือ ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ อายุกว่า 300 ปี ที่แผ่กิ่งก้านสูงตระหง่าน งามโดดเด่น ด้วยขนาดลำต้นที่ใหญ่ ต้นไม้ต้นนี้จึงถูกยกให้เป็น “รุกข มรดกของแผ่นดิน” โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ต้นเฉลียงทอง จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่ใครได้มาภูผาม่านก็ควรจะแวะชมสักครั้งก่อนกลับ

นอกจากต้นเฉลียงทองและใบลานเก็บส่วยแล้ว ภายในวัดยังมีอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาอย่างช้านาน นั้นก็คือ หลวงปู่ลี ที่ชาวบ้านเล่าให้เราฟังว่าผู้คนทั้งในและนอกชุมชนมักจะมากราบไหว้ขอพร โดยเฉพาะในเรื่องหน้าที่การงานและความก้าวหน้าในชีวิต แน่นอนว่าในเมื่อเรามาถึงที่แล้ว ชาวออฟฟิศ อย่างผู้เขียนและเพื่อนร่วมทริปก็ไม่พลาด ขอพรกันแบบจัดเต็ม หวังว่าจะได้รับพลังใจดี ๆ ติดตัวก่อนที่จะกลับไปเผชิญงานกองโตในวันจันทร์อย่างมีแรงฮึดขึ้นมาอีกสักนิด

เสียงท้องร้องเริ่มกวนใจหลังจากที่เราไหว้พระเสร็จแล้ว ถึงจะอิ่มบุญแต่เมื่อในท้องมีเพียงกาแฟแก้วเดียวก็คงไม่เพียงพอสำหรับเป็นพลังงานเพื่อเดินทางตลอดทั้งวัน นับเป็นเรื่องดีที่พี่กุลบอกกับพวกเราว่า เราจะไปกินข้าวกันในสถานที่ถัดไป แต่ครั้งนี้เราไม่ได้เดินทางต่อด้วยรถอีแต๋นคันเดิมและไม่ได้เดินเท้าไป เพราะจักรยานที่เรียงรายจอดรออยู่หน้าต้นเฉลียงนั้นคือพาหนะที่พร้อมให้พวกเราปั่นมันออกไปเพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนในวันนี้ด้วยและนี่คืออีกหนึ่งไฮไลต์ของวันนี้ เราค่อย ๆ ปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ สายหนึ่งของหมู่บ้าน บ้านไม้ชั้นเดียวและสองชั้นเรียงรายตลอดทางสลับกับร้านขายของในชุมชน ปรากฏเป็นวิถีชีวิตเรียบง่ายที่คงไม่สามารถพบเห็นประสบการณ์แบบนี้ได้ในเมืองใหญ่ เมื่อปั่นจักรยานมาได้สักระยะ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทริปหลายคนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก็คือภาพของทุ่งนากว้างที่ถูกโอบล้อมด้วยแนวภูเขาไกลสุดสายตา ยิ่งไปกว่านั้น เรายังโชคดีที่มาในช่วงที่ชาวบ้านเพิ่งปักกล้าลงนา ท้องทุ่งทั้งผืนจึงเต็มไปด้วยสีเขียวอ่อนของต้นข้าวอ่อนที่เรียงตัวแน่นเต็มผืนดิน สะท้อนแดดยามสายอย่างอ่อนโยน เสียงพูดคุยของชาวบ้านที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างขมักเขม้น ลอยมากับสายลมแผ่วเบา บ้างหัวเราะ บ้างส่งเสียงเรียกกันอย่างเป็นกันเอง ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นรอบตัวดูเชืองช้า ไม่เร่งรีบ แตกต่างจากจังหวะชีวิตในเมืองใหญ่ และแล้วสองเท้าที่ปั่นจักรยานมาตลอดเส้นทางก็หยุดลง เป็นสัญญาณบอกว่าเรามาถึงจุดหมายแล้ว แต่จุดนี้ยังไม่ใช่สถานที่สำหรับนั่งกินข้าวเสียทีเดียว พี่กุลบอกกับเราว่ายังต้องเดินเท้าลัดเลาะต่อไปตามคันนาเล็ก ๆ เพื่อไปยังเถียงหน้ากลางทุ่ง แน่นอนว่าในเมื่อมาถึงที่แล้ว สายลุยอย่างเราจะพลาดได้อย่างไร หลังจากเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบจนพอใจ ก็รีบก้าวเท้าเดินตามคนข้างหน้าไปทันที ระยะทางจากจุดจอดจักรยานเข้าไปยังที่หมายอาจไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แต่เมื่อมีวิวทุ่งนาเปิดโล่งทอดยาวอยู่ตรงหน้า กับภูเขาสูงเป็นฉากหลัง การก้าวเดินไปพร้อมกับใช้สายตาที่ทอดมองธรรมชาติรอบตัวแบบนี้ ต่อให้ไกลกว่านี้ก็ไม่มีบ่น เมื่อมาถึงเถียงนาไม้กลางทุ่ง ที่หมายของมื้อนี้ บรรยากาศก็อบอวลไปด้วยความเรียบง่ายและอบอุ่น น้อง ๆ ทีมงานเริ่มลงมือจัดเตรียมอาหารอย่างขะมักเขม้น เมนูอาหารพื้นบ้านวางเรียงราย ทั้งต้มไก่กลิ่นหอม คั่วปลารสเข้ม น้ำพริกผักลวกสด ๆ ผัดหมี่สีชมพู และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนอีสานบ้านเฮา ก็คือ ตำบักหุ้ง ที่น้อง ๆ ทีมงานโชว์ลีลาและอวดฝีมือกันอย่างเต็มที เสียงพูดคุยเรื่องราวและประสบการณืชีวิตของผู้ร่วมวงกินข้าว ทำให้อาหารมื้อนี้อาจไม่ได้พิเศษแค่ในเรื่องรสชาติของอาหาร หากแต่เป็นบรรยากาศที่รายล้อมอยู่รอบตัว ทุ่งนากว้างใหญ่ที่เขียวขจี ภูเขาสูงที่โอบล้อมอยู่รอบด้านกับสถานที่แบบนี้ มันทำให้อาหารทุกจานมีรสชาติพิเศษกว่าที่เคยกินกว่าครั้งไหน ๆ 

เราปิดท้ายทริปด้วยการกลับมาจิบกาแฟยามบ่าย ณ ฟาร์มคิด จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของทริปเราในวันนี้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะนั่งมองรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง ภาพของเพื่อนร่วมทริปที่ยังคงล้อมวงคุยกัน บางก็คุยเรื่องทริป บางก็คุยเรื่องงานในวันถัดไป บรรยากาศแบบนี้…มันแทบจะเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่เลยในเมืองใหญ่ ที่ซึ่งเราต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปเรียน ไปทำงานหรือใช้ชีวิตในแบบเดิม ๆ ต้องรีบกินข้าวในเวลาจำกัดและกลับมานั่งจ้องจอคอมจนลืมสังเกตว่าพระอาทิตย์ตกไปตอนไหน ต่างจากที่นี่ ที่เวลาเดินช้าลงจนเรารู้สึกเหมือนได้ทบทวนหัวใจตัวเองอีกครั้ง อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมองเห็นคือในวันนี้ ภูผาม่าน กำลังกลายเป็นจุดหมาย ที่ออกแบบให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มีเวลาเที่ยวจำกัด แต่ยังโหยหาธรรมชาติ ความสงบ และประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากในจอมือถือหรือคาเฟ่ในเมือง การท่องเที่ยวแบบ One Day Trip จึงนับว่าเป็นทางเลือกแบบใหม่ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบมากขึ้น ท้ายที่สุดนี้ สำหรับใครที่ยังลังเลว่าควรจะออกเดินดีหรือไม่หรือยังไม่แน่ใจว่าจะไปที่ไหนดี บางที…บทความนี้อาจเป็นเพียงคำชวนเล็ก ๆ ที่อยากให้คุณลองก้าวออกจากวงจรชีวิตเดิม ๆ สักหนึ่งวัน มาลองปล่อยให้ธรรมชาติและผู้คนที่นี่ช่วยซ่อมแซมความเหนื่อยล้าที่สะสมในใจคุณที่หาไม่ได้จากในเมืองใหญ่ แบบที่พวกเราได้ไปสัมผัสมา