หมอลำทรง ท่วงทำนองสื่อสารกับสิ่งลี้ลับ ศาสตร์ ศิลป์เยียวยาจิตใจ งมงาย หรือ รักษาได้ ยากที่จะหาคำตอบ

เรื่อง สกุลรัตน์ สองจันทร์ ภาพประกอบ เบจวรรณ สุรมณี ,ภาสกร สุขบุญญาสถิตย์

เสียงแคนดังประสานกลอนลำคำผญาที่ดังลอยมากับสายลม ฟังผิวเผินอาจเหมือนเสียงขับลำเพื่อความบันเทิงที่พบเห็นและได้ฟังทั่วไปในสังคมภาคอีสาน ท่วงทำนองการขับร้องลำที่เรียบเรียงเอาคำผญาอีสาน กล่าวเอื้อนเอ่ยเป็นทำนอง ใส่ลูกคอที่ให้ความรู้สึกแห่งท่วงทำนองร้องลำ ซึ่งเป็นการนำเอาคำสอน เรื่องราว เรื่องเล่าในแง่มุมต่าง ๆ ที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อใด ต้นกำเนิดอยู่ที่ไหน แต่มีหลักฐานการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มาก เกิดเป็นท่วงทำนองขับลำแห่งการเยียวยาชีวิต จิตใจ และพิธีกรรมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ยึดโยงกับความเชื่อ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น  ศาสตร์แห่งศิลปวัฒนธรรมอีสาน กับการปลอบประโลมจิตใจผู้ป่วยและการทำพิธีกรรมเพื่อรวบรวมญาติพี่น้อง ลูกหลาน ให้มารวมตัวกันอีกครั้ง บ้างก็เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ป่วยได้มีพลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ  นั่นคือ หมอลำทรง หมอลำพิธีกรรม ที่ยังคงดำรงอยู่ในสังคมอีสานสมัยใหม่

คุณยายดาว พานโน หมอลำทรง แห่งบ้านพระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น

ซาวอีสาน ชวนผู้อ่านย้อนวันวาน หวนให้คิดถึงอดีตและสัมผัสพิธีกรรมการรักษาแบบคนอีสานสมัยก่อนที่ใช้การร้องลำเยียวยารักษาอาการทางกายและทางใจอย่าง หมอลำทรง บางพื้นที่เรียกว่า หมอเหยา หมอลำผีฟ้า ฯลฯ ซึ่งหากจะเปรียบให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การเรียกใช้พลังเหนือธรรมชาติ หรือ ความเชื่อลี้ลับที่มองไม่เห็นมา ช่วยในการรักษาอาการเจ็บไข้ แม้จะฟังดูน่ากลัวในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับคนอีสานที่เติบโตมากับ วัฒนธรรม การนับถือผีบรรพบุรุษ สิ่งนี้กลับถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะมันคือการพึ่งพิงที่แฝงด้วย ความหวัง ความศรัทธาและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างคนกับธรรมชาติและระหว่างคนกับ สิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น ที่ไม่ใช่ความเชื่อในแบบที่หวาดกลัว แต่คือสิ่งลี้ลับในฐานะผู้เฝ้าดูแล ปกป้องลูกหลานโดยผ่าน ตัวแทนหรือผู้ส่งสารในรูปแบบหมอลำอันเป็นศิลปะพื้นบ้าน พื้นเมือง ที่อยู่คู่กับคนอีสานมาทุกยุคทุกสมัย

อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชี้ชวนให้เชื่อหรือนำเสนอด้วยความงมงาย หากแต่เพียงอยากชวน ให้ผู้อ่านได้มองลึกลงไปในกุศโลบายและการดำรงอยู่ของความเชื่อที่ผูกติดกับการสั่งสอนเรื่องกตัญญูรู้คุณของลูกหลานที่มีต่อบุพการีผ่านหมอลำทรงที่เปิดกว้างขึ้นอีกนิด เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ศิลปะการลำเพื่อความ บันเทิง แต่คือศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่หล่อหลอมศิลปะ พิธีกรรมและความศรัทธาเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น พลังในการประคับประคองทั้งร่างกายและจิตใจของผู้คนในยามเจ็บป่วยหรือเผชิญความทุกข์ยาก

บรรยากาศขณะประกอบพิธีลำ

หมอลำทรง : ศาสตร์และศิลป์แห่งการเยียวยา รักษาจิตใจ ความรู้สึก

เช้าตรู่ท่ามกลางบรรยากาศฝนริน ๆ ในช่วงฤดูฝนของบ้านพระยืน ต.พระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น ที่นี่คือบ้านที่อยู่อาศัยของคุณยายดาว พานโน ผู้สืบทอดและธำรงรักษาการเป็นหมอลำทรง ที่ทุกคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็รู้จักและให้ความเคารพนับถือกันมาหลายสิบปี  ซาวอีสานได้ร่วมติดตามคุณยายดาวไปยังสถานที่ประกอบพิธีในวันเดียวกันและได้ฟังเรื่องเล่าจากคุณยาย ทั้งเรื่องราวของความเชื่อ ภูมิปัญญาชาวบ้านและความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับหมอลำทรง โดยมี คุณเมธาสิทธิ์ สีมาตย์ ชื่อเล่น คิม นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ผู้เป็นทั้งหลานชาย ผู้ช่วยหมอลำทรงและผู้สืบทอดหมอลำพิธีกรรมนี้ พร้อม ๆ กับการศึกษาศาสตร์ ศิลป์การร้องลำเพื่อรักษาเยียวยาจิตใจ ร่วมเดินทางและให้ข้อมูลกับเราอีกด้วย

เมธาสิทธิ์ สีมาตย์ ผู้ติดตามหมอลำทรง กล่าวว่า หมอลำทรงหรือที่หลายคนเรียกกันว่า หมอเหยา หรือ หมอลำผีฟ้า มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า หมอลำพิธีกรรม เป็นหนึ่งในแขนงย่อยของหมอลำ ที่นอกจากหมอลำเรื่อง หมอลำกลอน หมอลำเพลิน และหมอลำพื้นแล้ว ยังมีหมอลำประเภทนี้ซ่อนอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย แม้จะไม่ใช่หมอลำบนเวที  ไม่ใช่หมอลำประกวด ไม่ใช่การแสดง แต่คือ หมอลำทรง พิธีกรรมพื้นบ้านของอีสานที่ยังคงดำรงอยู่ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไป หน้าที่ของหมอลำไม่ใช่เพียงขับกลอนให้คนฟัง แต่ต้องร้องลำเพื่อรักษา ผ่านบทผญา กลอนสุภาษิต หรือคำสอน จากประเพณีอีสานที่เรียกว่า ฮีตคอง (จารีตประเพณี) โดยการลำจะผสานเสียงแคน ท่วงฟ้อน และพิธีกรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน พิธีกรรมหมอลำทรงจึงไม่ใช่เพียงการร้องรำทำเพลงเพื่อความบันเทิง แต่เป็นการฟ้อนเพื่อรักษา ลำเพื่อเยียวยาและฟังเพื่อฟื้นพลังให้กับผู้ที่หมดเรี่ยวแรงหรือสิ้นหวัง เป็นศาสตร์ ศิลป์ ที่สะท้อนสายสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ และความพยายามในการประคับประคองชีวิต ให้อยู่รอดด้วยภูมิปัญญาของชุมชน เพราะในอดีตนั้นโรงพยาบาลยังมีไม่ทั่วถึง สถานีอนามัยยังตั้งอยู่ห่างไกล คนอีสานจำนวนมากจึงจำเป็นต้องพึ่งพาหมอลำทรงในฐานะ “หมอ” ประจำชุมชน ที่แม้จะไม่ใช่หมอที่มีใบประกอบวิชาชีพ แต่ก็เป็นหมอที่มีวาทศิลป์ในถ้อยคำและรู้จักพูดกับใจของผู้ป่วย

สมัยก่อนถ้าไม่สบาย ไม่มีแรง ไม่มีหมอ หมอลำทรงนี่แหละที่เขาเรียกมา ปัว…..บางคนก็ยังเชื่อ เพราะพอหาหมอแล้วไม่ดีขึ้น ก็มาให้หมอลำช่วยรักษา 

เมทา สิทธิ์สีมาตย์
เมธาสิทธิ์ สีมาตย์ ผู้ติดตามหมอลำทรง

จารีต ฮีตคอง ผญาคำสอน สู่กลอนลำเยียวยาด้านจิตใจ

ลักษณะพิธีของหมอลำทรงแทบจะไม่ต่างอะไรกับพิธีกรรมทางศาสนาในแบบที่เราคุ้นเคยผ่านการใช้บทสวด บาลีเพื่ออ้อนวอนและภาวนา ในขณะที่หมอลำทรงก็ใช้บทกลอนลำเพื่อปัดเป่า รักษาโรคภัย เยียวยาความทุกข์ และเสริมพลังชีวิตให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งในบริบทของคนอีสาน พิธีกรรมนี้ไม่ใช่สิ่งแปลก เพราะมันคืออีกหนึ่งวิธีในการฟื้นคืนสมดุลของกายและใจโดยอาศัยลำและเสียงแคนเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกของคน เป็นกับโลกของวิญญาญ ซึ่งไม่ใช่กลอนที่ท่องจำแต่อย่างใดเพราะกลอนที่ขับออกมามักจะร้อยเรียง ตามอาการของผู้ป่วย ไม่มีตำรา ไม่มีแแบบแผนซ้ำกัน เหมือนหมอลำกลอนทั่วไป

“มันไม่เหมือนลำผาแดงนางไอ่ หรือ กลอนครู ที่ท่องได้สิบงานก็เหมือนกันหมด… แต่หมอลำทรงสิบงาน สิบกลอน ไม่เหมือนกันเลย”

องค์ประกอบสำคัญของพิธีหมอลำทรง โดยทั่วไปพิธีหมอลำทรงจะประกอบด้วย 3 สิ่งสำคัญ คือ หมอลำ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารผ่านบทลำ หมอแคนหรือหมอม้า ซึ่งถือเป็นหัวใจของพิธี เพราะเสียงแคนจะทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางระหว่างโลกมนุษย์กับวิญญาณ ผ่านการเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับจักรวาลตามความเชื่อพื้นถิ่น 

แคน ในพิธีมักจะมีอยู่ 3 ขนาด หรือที่เรียกว่า แผ(ขนาด) ได้แก่ แคน 8 ใช้เป่าในช่วงลำผญา แคน 9 และ แคน 10 ใช้ในช่วงการฟ้อนรำ เพราะเสียงแคนของแต่ละแผจะให้ความรู้สึกและแรงสั่นสะเทือนต่างกัน ถือเป็นตัวแทน ของพลังที่ช่วยขับเคลื่อนจิตใจของผู้ป่วย 

ครูคาย หรือของไหว้บูชา ที่จัดไว้สำหรับแสดงความเคารพต่อผีบรรพบุรุษ หรือ ครูบาอาจารย์ในสายวิชา สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นกฎกติกาสำคัญ คือ หมอลำทรง จะไม่สามารถจัดครูคายด้วยตัวเองได้ เพราะถือว่าเป็นการล้ำเส้น หรือ แสดงความไม่เคารพต่อผู้ป่วยและต่อครูบาอาจารย์ ดังนั้น ผู้ติดตาม หรือ ผู้รู้ จะต้องเป็นผู้จัดเตรียมของเซ่นไหว้แทน 

คนจำนวนไม่น้อยที่เลือกพึ่งพาวิธีการเช่นนี้ โดยเฉพาะในยามที่หมอหรือวิธีการรักษาแบบปัจจุบัน ยังไม่มีคำตอบให้กับความเจ็บป่วยของเขา เสียงผญายังคงดังสอดรับประสานกับกับเสียงแคน ผู้ป่วยนั่งด้านขวามือของคุณยายดาว หรือ หมอลำทรง มีผู้เข้าร่วมพิธีนั่งล้อมวงด้านหลัง ขณะที่ลูกหลานนั่งอยู่รอบนอกวงล้อม การปัว หรือ การลำทรงรักษา จะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ คือ ช่วงผญา สลับกับการพูดคุยถามอาการผู้ป่วย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการลำ เสียงผญายังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงเริ่มเบาและจบลงในช่วงแรก

“ลูกยากบ่ละ หลานยากบ่” (ลูกหลานดื้อไหม?) เสียงของหมอลำทรง เอ่ยถามขึ้นและเมื่อได้รับคำตอบ คุณยายจึงถามต่อ “แล้วคนป่วยละ ดื้อบ่… ดื้อบ่กินข้าว มันสิตายเด้” สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าไม่ใช่แค่การซักถามทั่วไปแบบแพทย์ถามคนไข้หากแต่เป็นการสนทนาที่แฝงเจตนาให้ ผู้ป่วยหยุดคิดและทบทวนพฤติกรรมของตนเองในช่วงที่เจ็บป่วย เพราะอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน กลอนที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน หมอลำต้องลำให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ป่วยรู้สึก หากปวดขา ก็ลำให้ขา ถ้าเจ็บใจ ก็ต้องปลอบโยนใจ บทกลอนลำนั้นจึงเป็นวาทะศิลป์และธรรมะ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปทบทวนตัวเอง หยุดคิด และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทำให้บทสนทนาของคุณยายดาว ดูคล้ายกับเป็นการปลอมประโลมและแนะนำ เหมือนกับแพทย์ในปัจจุบัน เพียงแต่จะบอกกล่าวกันผ่านหลักธรรมคำสอนของการดำเนินชีวิต การสำรวมวาจา การไม่เบียดเบียน และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเมตตา ซึ่งมีรากมาจาก ศีล 5 และ พรหมวิหาร 4 ยกตัวอย่าง ในกลอนลำที่คุณยายพูดว่า “ยับยาง คูคี ยางเอ้ย”

มีความหมายว่า การถือศีลนั้นมันจะหนัก จะวางก็ไม่กล้าเพราะถ้าวางลงแล้ว ชีวิตจะเละเทะ ดังนั้น ศีล 5 ในบริบทของหมอลำจึงเปรียบเสมือนหลักธรรมที่ถูกกลั่นออกมาในรูปแบบกลอนลำ ผญาและวาทศิลป์ที่มี จังหวะทำนอง ความไพเราะและสามารถเข้าถึงคนฟังได้อย่างแท้จริง เพราะผญาที่คุณยายใช้ในการลำ มีทั้ง ผญาลูกสร้อย ผญาโตงโตย และ ผญาคำสอน ที่มักสอดแทรกอยู่ในเนื้อหา เพื่อให้ผู้ป่วยหรือผู้ฟัง ซึมซับได้โดยไม่รู้ตัว การลำของคุณยายจึงเป็นทั้งการรักษา การเทศนาและการเยียวยาจิตใจไปพร้อมกัน 

ขันธ์ในพิธีหมอลำทรง

วิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ทันสมัย ทำไมหมอลำทรง ยังคงดำรงอยู่ในยุคปัจจุบัน 

หมอลำทรงในชุมชนนี้ไม่ได้มีการถ่ายทอดตำราแบบระบบครูกับศิษย์ เพราะกลอนของหมอลำทรง มักออกมาจากใจและต้องเกิดจากภาวะทางจิตวิญญาณ บางอย่างเช่นเดียวกับคุณยายดาว ที่ไม่ได้เรียนจากใคร และไม่ได้ไปรับขันหรือสืบทอดผ่านใครมาตามพิธีแบบหมอทรงทั่วไป แต่เป็นคนที่มีภาวะที่สามารถลำได้เอง หรือทั่วไปเรียกว่า มันเป็นเอง วันหนึ่งเธอถูกขอให้ไปลำให้ พ่อเหลียว โดยไม่รู้ตัวและเมื่อขึ้นไป ก็สามารถลำได้ทันที ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าเธอคือนางจำปา (หมอลำทรง) ลงมาเกิด

ในปัจจุบันหมอลำทรงอาจไม่ได้เป็นที่เชื่อถือของคนทั้งสังคม แต่พิธีกรรมนี้ก็ไม่ได้เลือนหายไป และมีแนวโน้ม จะเป็นที่สนใจอีกด้วย เพราะกลุ่มคนบางกลุ่มโดยเฉพาะในแวดวงนักศึกษา ก็เริ่มให้ความสนใจกับ วัฒนธรรมพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะสักเกตุได้จากนักเรียนและนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในภาคอีสาน เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ต่างเริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมอีสานมากขึ้น ทั้งการแต่งกายด้วยผ้าไทย ใส่ซิ่น ใส่โสร่ง หรือแม้กระทั่งการเคี้ยวหมาก ซึ่งเคยเป็นภาพชินตาของคนรุ่นปู่ย่า ยิ่งไปกว่านั้นในเวทีแข่งขันทักษะวิชาการ ของนักเรียน นักศึกษาบางแห่งยังมีการนำหมอลำทรงไปสาธิตในหัวข้อว่าด้วยเรื่องของ “นางจำปา” ซึ่งเป็นตำนานสำคัญในพิธีกรรมของหมอลำทรง สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนสัญญาณที่บอกว่า หมอลำทรง กำลังได้รับการยอมรับในฐานะองค์ความรู้ทั้งในด้านพิธีกรรมและความเชื่อ

“หมอลำทรง ไม่ได้รักษาแค่คนป่วย คนไปฟังยังได้ภูมิรู้ ภูมิธรรม ได้คำสอนที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน… มันเหมือนฟังพระเทศน์ ทั้งที่ไม่ใช่พระ”

เมธาสิทธิ์ สีมาตย์ ผู้ติดตามหมอลำทรงอีกบทบาทหนึ่งคือในฐานะครูรุ่นใหม่ที่ยังนำเอาผญา คำสอนจากกลอนลำ ไปใช้พูดกับนักเรียนในห้องเรียน เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การร้อง ลำ หรือพิธีกรรม แต่ขยับเข้าสู่บทสนทนาระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ อย่างที่หมอลำทรงเคยเป็นมาเสมอ หมอลำทรงอาจไม่ได้มีตำราหรือแบบแผนที่ชัดเจนเหมือนศาสตร์อื่น ๆ แต่สิ่งที่จะยังคงอยู่ คือ ภูมิปัญญาแห่งชีวิตที่ถ่ายทอดจากคำต่อคำ จากท่วงท่าของเสียงลำ สู่การเยียวยาทั้งกายและใจ และหากคนรุ่นใหม่ยังคงหยิบจับคำเก่า ๆ มาขัดเกลาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หมอลำทรง ก็จะยังคงอยู่ในสังคม วัฒนธรรมอีสาน สืบไป