เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนอีสาน จัดงานใหญ่ ชวนมองสถานการณ์และร่วมเสนอทิศทางการพัฒนาอีสานทุกมิติ

6 กันยายน 2568 ที่คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เครือข่ายสมัชชาขบวนองค์กรชุมชน และภาคประชาสังคม  ได้ร่วมกันจัดเวที  ฮ่วมแฮง แบ่งแงง ส่องซอดอนาคตอีสาน : มุมมอง สถานการณ์งานพัฒนาภาคอีสานกับข้อเสนอทิศทางการพัฒนาภาคอีสานในอนาคต เพื่อสรุปบทเรียนการทำงานของขบวนองค์กรชุมชน 20 จังหวัดภาคอีสาน และกำหนดทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ร่วมกันในระดับภาค สู่การทำงานร่วมภายใต้แผนพัฒนาที่ครอบคลุมกับหน่วยงานภาคีอื่น ๆ ให้เป็นรูปธรรม พร้อมมีการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ และข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น ในการร่วมกันกำหนดทิศทาง วางแผน ออกแบบ และวางแนวทางการพัฒนาภาคอีสานอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงภาควิชาการ เครือข่ายองค์กรชุมชน และหน่วยงานภาคีการทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพี่น้องอีสานเราให้สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมปกติสุข เกิดกลไกการทำงานขับเคลื่อนการพัฒนา

มองอีสานเชิงลึกกับข้อเสนอจากเวทีเสวนา เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนา

ขณะที่กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในงานดำเนินไปอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนและให้ข้อเสนอแนะจากคนทำงานในพื้นที่จริง และภาคีนักวิชาการที่คลุกคลี ลงพื้นที่ ติดตาม และร่วมเดินทางการพัฒนาพื้นที่กับชุมชนมาโดยตลอด ได้ร่วมแบ่งปัน บอกเล่าและเสนอแนวทางการทำงานทุก ๆ มิติ ถึงแนวทางการพัฒนาภาคอีสานจากสถานการณ์ปัจจุบัน

อาจารย์คชษิณ สุวิชา อาจารย์สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด กับข้อเสนอแนะในประเด็นความหลากหลายและการพัฒนาอีสาน คนอีสานหรือคนไทยของเราต้องตระหนักถึง ว่ามันไม่ใช่แค่คนไทยและคนอีสานที่สร้างการพัฒนา ซึ่งอีสานเราเปลี่ยนแปลงจากการผลิตเพื่อบริโภคมาเป็นการผลิตเพื่อขาย ซึ่งทำให้ต้องมีการใช้แรงงานข้ามชาติเข้ามาช่วยในกลไกการพัฒนา อย่างในปี 2520 คนอีสานเริ่มอพยพออกจากบ้านเกิดเพื่อไปทำงานในโรงงาน จากนโยบายของรัฐที่เปลี่ยนรูปแบบอุสาหกรรมเพื่อเน้นการส่งออก ทำให้ภาคอีสาน เกิดภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานจนต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ ถ้าในอีสานจะเป็นแรงงานจากประเทศลาว ต่อมาในปี 2530 รัฐจึงมีนโยบายเปลี่ยนสนามรบ (พื้นที่บริเวณชายแดน) เป็นสนามการค้า ต่อมาปี 2540 พี่น้องชาวอีสานกลับมายังบ้านเกิดแต่หอบเอาทุนมาเปิดกิจการของตนเอง และเลิกทำงานไป ดังนั้นจึงกลายเป็นแรงงานทั้งลาว กัมพูชา พม่า เข้ามาทำงานแทนส่วนที่แรงงานไทยไม่ทำ แม้แต่ในอุสาหกรรมใหญ่ ๆ ในโคราชและขอนแก่น ก็มีแต่แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงาน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น คือแรงงานเหล่านี้ถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและในเรื่องความเป็นชาตินิยมในปัจจุบัน

อาจารย์คชษิณ สุวิชา อาจารย์สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

ดร.พสุธา โกมลมาลย์ ผู้อำนวยการสถาบันภาษาศิลปะวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ได้ฉายภาพของโลกทัศน์ของอีสาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ เราเปลี่ยนแปลงกับอะไร ในทางทฤษฎี ยกตัวอย่างคำว่า อีสานเขียว หากเป็นเมื่อก่อน อีสานเขียวจะหมายถึง ภาพอีสานที่แห้งแล้ง จนต้องมีการทำให้อีสานกลายเป็นสีเขียว แต่หากมาวิเคราะห์คำว่าอีสานเขียวในปัจจุบันเราจะพบว่า อีสานเขียว หมายถึง โอกาสทั้งในด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดังนั้นผมจึงอย่างชวนให้ทุกคนเข้าถึงโลกทัศน์ของอีสานก่อนว่าอีสานเริ่มที่จะไม่ได้สนใจแนวทางการพัฒนาด้วยคอนเซ็ปต์ใดคอนเซ็ปต์หนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า “อนานิคมภายใน” เช่น อีสานถูกสร้างว่าถ้าอีสานจะพัฒนาต้องอยู่ภายใต้พิมพ์นิยม อย่างการมีบ้าน มีรถ แต่ประเด็นที่สำคัญคือแรงปรารถนาใหม่ คือ การไม่ต่อสู้กับพิมพ์นิยมแต่เป็นการตั้งคำถามว่า เราจะเข้าไปเป็นอีสานเขียว ในเรื่องของความสนุกสนานหรือการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างไร ซึ่งมันคือคอนเซ็ปต์ Isan is be coming ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอีสานกำลังจะเกิดคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะถกเถียงเรื่องการพัฒนาอีสานที่ไม่อยู่ภายใต้คำว่า อนานิคมภายใน และเราจะปลดล็อคตัวเองจากการขูดรีดแรงงานจากการเป็นอนานิคมภายใน

อาจารย์นิรันดร คำนุ หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวเสริมในประเด็นข้างต้นว่า เราต้องการฉายภาพให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเรามีหลากมุมมองมากจากคนที่อยู่ในสถานการณ์ งานพัฒนาอีสานอยู่หลากหลายมุมมอง และหลากหลายหน่วยงาน ซึ่งที่ผ่านเราต่างคนต่างทำ แต่เรามีโจทย์เรื่องการพัฒนาเหมือนกัน เช่น ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาตลอด 40 ปี คือทุนและรัฐที่เข้ามากำหนดการใช้ชีวิตของคนในภาคอีสานมากว่า 40 ปี ซึ่งสิ่งที่เราอยากชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราถูกกดทับจากกลไกการพัฒนา คือ ชาวบ้านในพื้นที่เรามักจะถูกโครงการพัฒนาขนาดใหญ่มาลิดรอนสิทธิชุมชน ซึ่งเขาต้องรับชะตากรรมดิ้นรนเพื่อต่อสู้และเรียกร้องในการคลี่คลายปัญหา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่อาจจะอยู่ด้วยตนเองได้ตลอด ทุกอย่างมีเวลาของมัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ในอีสานอาจจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาดูและมาพูดคุยกัน มีพื้นที่กลางที่คนทุกภาคส่วนที่จะต้องมาชี้ทิศทางและความหมายของการกำหนดการพัฒนาร่วมกัน เกิดพลังภายในที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกัน

ศ.ดร.บัวพันธ์ พรมพักพิง ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสังคมและการจัดการองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ ได้ขมวดให้ภาพชัดเจนขึ้นจากการแลกเปลี่ยนในวงเสวนา ซึ่งอาจารย์เน้นย้ำให้มองเห็นปัญหาและโจทย์อยู่ 4 เรื่องหลัก ๆ คือ 

  • ภาคอีสานมีการร่วมแรงในภาคประชาชน ซึ่งมีประชากรมากที่สุด ที่นี้ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าจำนวนคนเกิดและคนตายไม่สมดุลกัน ดังนั้นปัญหาการลดลงของกำหนดประชากรจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญ
  • เรื่องความเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะการกลายเป็นเมืองที่ไม่ใช่แค่ในอำเภอเมืองแต่มันเริ่มจะไปถึงในพื้นที่นอกเมืองด้วย บางทีเราก็แทบจะไม่เห็นพื้นที่ชนบทแล้ว
  • ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เราต่อสู้กันมาตลอด โดยเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งเราต่อสู้ทั้งสารเคมีซึ่งก็เป็นเรื่องของทุกคน
  • เรื่องเทคโนโลยี ที่มันเข้าถึงคน ทุกซอกทุกมุมมองแล้ว กลายเป็นว่านี่คือเรื่องที่เราต้องมากำหนดและควบคุมว่าเราจะใช้ AI มารับใช้มนุษย์อย่างไร

ดร.สุริยา คำหว่าน กล่าวถึงประเด็นเรื่องการกำหนดทิศทางการพัฒนาสังคมอีสานภายใต้มิติสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะพี่น้องชาวอีสานอยู่ในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเยอะ จังหวัดภาคอีสานติดกับพื้นที่ชายแดนมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ในขนาดที่พื้นที่ที่เราติดกับส่วนกลางของรัฐมีพื้นที่น้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เสียงของพี่น้องเหล่านั้นไม่ได้ถูกพูดถึงหรือรับฟังสักเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องการจัดการพื้นที่ชายแดน ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคง แต่มันคือเรื่องของสิทธิที่ชาวบ้านถูดลิดรอนจากโครงการการพัฒนาของรัฐ เช่น เขตเศรฐกิจพิเศษที่ส่วนใหญ่ส่วนกลางเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นผมจึงอยากเสนอแนะ 3 ข้อเสนอ คือ 

  • เรื่องขององค์กรชุมชน เพราะเรามีความหลากหลายทั้งภาษาและชาติพันธุ์ อย่างน้อยในอีสานเราก็มีอยู่อย่างน้อย 5 ตระกูลภาษา ดังนั้นเครือข่ายสังคม เช่น พอช. เราอาจจะต้องรับฟังเสียงของพื้นที่ ทั้งข้อเสนอของเรื่องความหลากหลาย หรือ การปฏิเสธโครงการบางอย่างของภาครัฐ 
  • กรณีที่2 คือ สถาบันการศึกษา ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาเกิดจากการที่ไม่มีใครอธิบายให้เราได้รับทราบอย่างจริงจังเลยว่าแต่ละประเด็นคืออะไร ทั้งเรื่อง MOU 2543, 2544 อะไรคือข้อเท็จจริงและอะไรคือข้อได้เปรียบ เพราะทุกอย่างมักถูกเชื่อมโยงไปที่เรื่อวงของการเมือง แผนที่ 1:50,000 1:100,000 1:200,000 จะใช้อันไหนได้เปรียบอย่างไรเราไม่เคยรู้ เพราะมันถูกโยนไปให้ฝ่ายความมั่นคงและส่วนกลางตัดสินใจ ดังนั้นสถาบันการศึกษาจึงเป็นหน่วยงานที่สำคัญ 
  • อันดับที่ 3 คือหน่วยงานรัฐ ตั้งแต่ปี 2540 เราแทบจะไม่เคยเห็นอำนาจในการตัดสินใจของพี่น้องในเขตพื้นที่ชายแดนเลย การกระจายอำนาจลงไป ทั้ง อปท. ก็ไม่มีพันธกิจว่าด้วยเรื่องชายแดนเลย ผมเห็นหน่วยการด้านกระทรวงการต่างประเทศที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ก็มีอยู่ในอุบล ขอนแก่น อุดร เพื่อทำพาสปอร์ต แต่ไม่ได้มีภารกิจอื่น ๆ ที่จะรับฟังข้อเรียกร้องของพี่น้องชายแดนว่าเขาต้องการอย่างไรกับการจัดการในพื้นที่ของเขา สามารถรับชมบรรยากาศเวทีเสวนาแบบเต็ม 2 ชั่วโมงได้ที่นี่  https://www.facebook.com/share/v/1Ja8Rbdrzq/

ข่าว : สกุลรัตน์ สองจันทร์ Content Writer ซาวอีสาน ภาพ : งานประชาสัมพันธ์ คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม