Esan Music Festival Thailand

Esan Music Event : การหลอมรวมของดนตรีพื้นบ้านกับสากลสู่เพลงอีสานสมัยใหม่ เมืองแคน อิสระธรรม

วิถีและลักษณะนิสัยของคนอีสาน เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินและเคยสัมผัสมาบ้างว่า เป็นคนอารมณ์ดี ชอบความม่วนซื่น โดยเฉพาะเรื่องของการร้อง รำ ทำเพลง และอีสานก็มีเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่หลากหลาย และยังเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถจะมิกซ์เข้ากับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างลงตัว ภูมิภาคอีสานมักจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาหาร ความม่วนซื่นโหแซว และวัฒนธรรมดนตรีเสียงพิณ เสียงแคน อันก่อให้เกิดวัฒนธรรม ความสนุก สามัคคี และความผูกพัน แต่ในปัจจุบันเกิดแนวเพลงใหม่ ๆ ที่หลากหลาย หลั่งไหลเข้ามาทั้ง เคป็อบ สตริง  อาร์แอนด์บี ทำให้คนในท้องถิ่นเริ่มเปิดรับเอาความแปลกใหม่ ตามแต่ สไตร์และความชื่นชอบของตัวเอง ซึ่งอาจจะทำให้ความเป็นอีสาน เสียงพิณ เสียงแคนที่เคยได้ฟังเริ่มเลือนลางลงไปบ้าง แต่ถึง อย่างนั้นก็ยังมีกลุ่มคนยุคใหม่ที่ยังคงไม่หลงลืมความเป็นอีสาน และยังคงรักษาวัฒนธรรม แนวเพลงอีสาน ให้คงอยู่และดึงดูดคนยุคใหม่ให้กลับมาฟังเสียงเพลงแบบอีสานสมัยใหม่ ที่รวมเอาความเป็นสากลใหม่เข้ากับดนตรีอีสานดั้งเดิมได้อย่างลงตัว และสามารถทำให้เกิดสไตร์เพลงอีสานยุคใหม่ขึ้นในหลากหลายมิติ รูปแบบ เทศกาลดนตรีอีสานเขียว เทศกาลดนตรีในที่ราบสูงที่ถูกจัดขึ้นเป็นเทศกาลแรก ๆ ของการจัดคอนเสิร์ตดนตรีในภูมิภาค ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนที่ชื่นชอบแนวเพลงเดียวกันนั่นคือ เรกเก้

เรามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “กลุ่มอีสานเขียว คือ เดียร์-ภูริธัช สีม่วงอ่อน หรือ เมืองแคน อิสระธรรม” หนึ่งในผู้ที่มีส่วนทำให้คนยุคใหม่สนใจแนวเพลงอีสานและซึมซับวัฒนธรรมเพลงท้องถิ่น ให้คนยุคใหม่ได้ฟังและทำให้เกิดเทศกาลเพลงอย่าง “อีสานเขียว”

เมืองแคน อิสระธรรม

จุดเริ่มต้นของ เทศกาลดนตรี  Esan Music Festival Thailand

เดียร์ เล่าว่า มันเริ่มจากที่ผมชื่นชอบการเที่ยว การแบกเป้เที่ยวกับเพื่อนตามสถานที่ต่าง ๆ สุดท้ายเลยมาพูดคุยกับเพื่อนว่าเราไม่ควรต้องแบกเป้ไปไหน เราควรให้ทุกคนแบกเป้มาหาเราแทนมันจึงเป็นตัวจุดประกายความคิดในการที่เริ่มทำเทศกาลดนตรีในจังหวัดขอนแก่น  ความตั้งใจแรกพวกเรามองภาพเทศกาลดนตรีกับแนวเพลงที่ยังคงเป็นเรกเก้เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเองเพราะเรกเก้ก็ถือเป็นดนตรีรากฐานเหมือนกับภาคอีสานที่มีวิธีคิดการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงเพื่อให้ผู้คนได้เข้าถึง ความเป็นท้องถิ่น แต่พอยุคหลัง ๆ จัดงานได้ 4-5 ปี ชื่องานก็ถูกเปลี่ยนไปเป็น “อีสานมิวสิคเฟสติวัล” เนื่องจากมันไม่ได้มีแค่ เรกเก้ แต่มีทั้งโฟคซอง ร็อกแอนด์โรลและแนวเพลงอื่น ๆ พอมีหลากหลายแนวมากยิ่งขึ้น ก็จะใช้แค่แนวเพลงเรกเก้ไม่ได้และชื่องาน ก็ไม่ควรถูกจำกัดแนวเพลงเพราะมีคนหลายกลุ่มเข้ามารวมกันและนั้นก็ทำให้เกิดสีสันในงานเทศกาลดนตรี แห่งนี้

ทำไมต้องเป็น “อีสานเขียว”  ผมรู้สึกชอบคำนี้ คำว่า เขียวมันไม่ได้หมายถึงแค่ทรัพยากรสีเขียว มันหมายถึงทั้งชีวิต ความเป็นอยู่ ความอุดมสมบูรณ์ แนวคิดและวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนในภาคอีสาน การเป็นเด็กกิจกรรมชื่นชอบการเล่นดนตรีออกค่ายท่องเที่ยวทำให้เดียร์เกิดการซึบซับความเป็นธรรมชาติและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนก็ยิ่งเข้าใจว่าเราเองก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมาจนถึงปัจจุบัน

วิถี ชีวิต และเสียงดนตรี

วิถีชีวิตคนอีสานกับเทศกาลดนตรีเป็นคอนเซ็ปต์แรกที่เดียร์และเพื่อนคุยกันก่อนที่จะเริ่มทำงานดนตรี การที่จะมีเทศกาลดนตรีภายในพื้นที่คนในพื้นที่ก็ต้องได้ผลประโยชน์มีรายได้กับงานที่เกิดขึ้นเพราะคนในชุมชนก็เปรียบเสมือนเจ้าของพื้นที่ ทำให้สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือการทำให้งานนี้ตอบโจทย์ “ชุมชน วัด โรงเรียน”

พอมีงานดนตรีเกิดขึ้นแล้วชาวบ้านเขาได้รายได้จากส่วนไหน เราถามต่อ “ในส่วนของชาวบ้านเขามีรายได้กับการรับเหมาเก็บขยะช่วงงาน อีกทั้งเป็นเจ้าของร้านค้าเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในส่วนวัดก็เป็นการนิมนต์พระเข้ามาบินฑบาตรภายในงานช่วงเช้าและอย่างตัวผมเองก็ได้มีโอกาสเข้าไปสอนศิลปะน้อง ๆ เพื่อปลูกฝัง การรักธรรมชาติและรักบ้านเกิดของตัวเอง”

และสิ่งนี้ก็ทำให้คนภายในงานได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของคนในภาคอีสานถึงยุคปัจจุบันจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนแต่จิตใจและจิตวิณญาณของคนอีสานยังคงอยู่เพราะแบบนี้งานดนตรีจึงไม่ได้หมายถึงแค่ดนตรีแต่ยังบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนในชุมชนความเป็นอีสานให้คนภายนอกได้รับรู้ถึงความรักความผูกพันการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย  ซึ่งภายในงานยังเน้นคอนเซ็ปต์การณรงค์ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เช่น การนำแก้วมาเอง ให้ร้านค้าใส่ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จัดงานเทศการดนตรี เพื่อให้คนรู้จัก อีสาน มากขึ้น

ปัจจุบันคนบางกลุ่มยังไม่รู้จัก คำว่า “อีสาน” อย่างแท้จริงเพียงแต่รู้ว่า อีสานก็คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อยู่ในประเทศไทยมีปลาร้า มีส้มตำ แต่จะมีคนกลุ่มไหนที่จะได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายมีแต่ความสนุกสนาน ได้เข้าใจคำว่าอีสานอย่างถ่องแท้ เดียร์ เล่าว่า  แต่ก่อนที่จะเริ่มทำดนตรียังมีคนเข้าใจแค่ว่าอีสานมันแห้งแล้ง บ้านนอก แต่พอเขาได้มางานดนตรีที่เราจัดขึ้นมันทลายภาพจำของเขาที่บอกว่า “อีสาน โง่ จน เจ็บ” แต่ในความบ้านนอกของเรามันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอยากมาหาเราไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี วิถีชีวิต วัฒนธรรม

นอกจากนั้นการจัดงานดนตรีสามารถสร้างมิตรภาพต่าง ๆ มากมาย อย่างการมาเที่ยวงานอีสานเขียวเพียงคนเดียว จบงานก็มีเพื่อนสนิทมิตรสหายมากยิ่งขึ้น และนอกจากจะมาเที่ยวงานดนตรีที่ขอนแก่นแล้ว ผู้คนที่มาก็สามารถวางแผนเที่ยวต่อได้ เพราะภายในงานจะมีการประชาสัมพันธ์ถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในขอนแก่นหรือบริเวณโดยรอบให้คนนอกพื้นที่ ที่จะท่องเที่ยวต่อสามารถไปดื่มด่ำบรรยากาศลมหนาวได้อย่างเต็มอิ่ม สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคืออิมแพคที่มันเกิดขึ้นคือเริ่มมีเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นทั่วประเทศ ก็เกิดจากคนที่มาเที่ยวงานดนตรีอีสานเขียวเขาได้แรงบันดาจใจใหม่ ๆ มันก็เหมือนเป็นการกระจายรายได้ และอีกมุมที่มองจากการส่งเสริม คือ เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแน่นอน รวมถึงเป็นการสร้างประโยชน์และสิ่งสำคัญคือ การปลุกเยาวชนที่มีใจรักในการอยากเป็นศิลปินได้มีโอกาสได้แสดงความสามารถเพราะมีพื้นที่ให้เขาได้แสดง ผลงานและสิ่งที่สำคัญเขาได้รู้จักเรามากยิ่งขึ้น

ดนตรีอีสาน คือ ความเป็นสากล เข้าได้กับทุกแนวดนตรีในโลก

ดนตรีอีสานกับความเป็นสากลในมุมของคนทั่วไปอาจมองไม่เห็นว่ามันจะสามารถพัฒนาได้ไปไกลถึงระดับสากลได้แต่ในมุมมองของเดียร์ เขามองว่า ในอีสานมีความเท่พอสมควร ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้เลย  แต่อีกมุมก็เปรียบเสมือนว่า ถ้าเพลงอีสานเป็นเส้นเลือด มันก็อุดตันอยู่ มันอาจจะขาดบางอย่าง ที่ทำให้เรายังก้าวไม่ถึง เราชวนมองต่อว่าสิ่งที่เดียร์จะสื่อคงหมายถึงการได้รับความสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะทำให้งานดนตรีอีสานพัฒนาไปต่อในระดับสากล

หากมีการสนับสนุนในส่วนนี้บางอย่างอาจจะง่ายขึ้น อย่างการเดินทางข้ามจังหวัดหรือระหว่างประเทศ ส่งเสริมแนวเพลงเทศกาลดนตรีของอีสานมากยิ่งขึ้นก็อาจทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ เพราะอีสานบ้านเรา ไม่ได้แพ้ชาติใดในโลก อย่างแคนอีสานถือเป็นหนึ่งเดียวในโลกมันสามารถเป็นเพลงที่หลากหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงเศร้า สนุกสนาน ถ้ายิ่งเดินทางไปพร้อมกับอาหาร ที่เป็นส้มตำที่คนทั่วโลกรู้จัก จะยิ่งส่งเสริมและได้รู้จักกับงานเทศกาลเพลงอีสานมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันเดียร์ได้เกษียณตัวเองและได้ส่งต่อเทศกาลดนตรีอีสานเขียวให้กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทีมงานได้สานต่อ และเพื่อให้อีสานเขียวได้พัฒนาต่อไปกับคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในเสียงดนตรี เพื่อที่จะผันตัวเองออกมาเป็นศิลปิน ทำเพลงอย่างเต็มตัวและทำงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เดียร์ยังคงมุ่งมั่นไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะ รักษาวัฒนธรรม ดนตรีอีสานและวิถีชีวิตคนในชุมชน ความกว้างไกลของเทคโนโลยีมันทำให้เราคิดว่า จะใช้อะไรนำเสนอเรื่องราวอีสาน เดียร์เป็นหนึ่งคนที่ข่อนข้างชัดเจนในความเป็นตัวตนของตัวเอง หลาย ๆ เพลงที่เขียนจึงมีเนื้อหาที่สอดแทรกความเป็นอีสานอยู่ในนั้นเสมอเพราะอยากให้ผู้คนที่อยู่ไกลบ้านหวนกลับ มาบ้านและหลาย ๆ เพลงที่เขียนล้วนเป็นความทรงจำในวัยเด็ก เพื่อย้ำเตือนให้คนฟังได้หวนกลับมาคิดถึง ก่อนที่มันจะหายไปเพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงหากไม่มีคนสืบทอดดนตรีอีสานก็คงเป็นเพียงสิ่งที่บอกเล่า เพียงเท่านั้น

ในนามของคนอีสานสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรจะทิ้งเลยคือเรื่องของภาษา ความงามของดนตรี ผมเชื่อว่ารถไฟ ที่ชื่อว่า รถไฟสายอีสาน มันไม่ทางสิ้นสุดแน่นอน มันคือรถไฟความเร็วสูงที่จะโลดแล่นไปได้ในทุกที่

เดียร์ เมืองแคน อิสระธรรม
Podcast เว้าอีสาน รายการ Isan to the World