เรื่องโดย นิสิตสาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไดโนเสาร์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้เมื่อราว 230 ล้านปีก่อน หลังจากการหมดสิ้นยุคเพอร์เมี่ยนประมาณ 20 ล้านปี สัตว์โบราณล้มตายลงจากการปรับตัวไม่ทันต่อธรรมชาติ และถูกแทนที่โดยสัตว์เลื้อยคลายจำพวกจระเข้ที่วิวัฒนาการเป็นไดโนเสาร์ สัตว์โลกยักษ์ร้อยล้านปี แต่รู้หรือไม่ว่า ภาคอีสานของประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบก็เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพื้นที่ราบสูงภาคอีสานเป็นบ้านของไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ ก่อนที่จะมีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้

ก่อนจะเป็นที่ราบสูงภาคอีสานของไทย ที่นี่เคยเป็นมหาสมุทรมาก่อน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย หรือ “ภาคอีสาน” เมื่อ 150 ล้านปี เคยเป็นมหาสมุทรมาก่อน และพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เดินท่องไปทั่วพื้นที่ในยุคนั้น อีสานมีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หรือ ที่เราเรียกกันว่า ภาคอีสานนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งสำคัญหลายครั้ง หลายยุค ก่อนจะมาเป็นแผ่นดินผืนใหญ่ให้บรรดาสัตว์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่าง ๆ ได้อยู่อาศัยมีลักษณะของชั้นหินที่เรียงตัวกันคล้ายกับขนมชั้น ซึ่งเดิมหินเหล่านี้วางตัวเป็นแนวระนาบเรียบ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้เกิดการบีบอัดจนหินคดโค้งคล้ายกับหนังสือที่ถูกบีบเข้าหากัน การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกทำให้ภาคอีสานยกตัวขึ้นเป็นแผ่นดิน ก่อให้เกิดที่ราบสูงโคราชและเทือกเขาภูพาน อีกทั้งแม่น้ำ ทะเลสาบน้ำจืด และป่าดงดิบเขตร้อน เป็นที่อยู่อาศัยของไดโนเสาร์และพืชโบราณ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้โครงสร้างของแผ่นดินอีสานมีลักษณะเป็นรูปอ่าง โดยจุดศูนย์กลางของอ่างนี้อยู่บริเวณ จังหวัดมหาสารคาม ซึ่่งตั้งอยู่บนชั้นหินที่อยู่ระดับบนสุดของโครงสร้างนี้ ส่วนชั้นหินที่มีฟอสซิลไดโนเสาร์จะอยู่ลึกลงไปหลายร้อยเมตร หมายความว่าหากมีการขุดเจาะลงไปในระดับ 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร อาจพบร่องรอยของไดโนเสาร์ได้ หินที่ถูกบิดงอและยกตัวขึ้นมาเหนือพื้นดิน ทำให้ซากฟอสซิลไดโนเสาร์โผล่ออกมาให้เราเห็นได้ง่ายขึ้น
ในอดีตภาคอีสานไม่ได้เป็นแผ่นดินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่เคยจมอยู่ใต้ท้องทะเล นักธรณีวิทยาค้นพบว่า เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ประเทศไทยไม่ได้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันเหมือนทุกวันนี้ แต่ประกอบด้วยแผ่นเปลือกโลกใหญ่ ๆ สองแผ่น ได้แก่
1. แผ่นเปลือกโลกด้านเหนือ ซึ่งรวมภาคเหนือ เมืองกาญจนบุรี และภาคใต้ของไทย
2. แผ่นเปลือกโลกอีสาน ซึ่งเป็นดินแดนที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
ในช่วงแรกแผ่นเปลือกโลกทั้งสองนี้อยู่ห่างกันและแช่อยู่ในทะเลลึก จนกระทั่งเมื่อประมาณ 200 ล้านปีก่อน แผ่นเปลือกโลกทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าหากันและชนกันอย่างรุนแรง ผลจากการชนนี้ทำให้ภาคอีสานถูกดันตัวขึ้นจากใต้ทะเลและกลายเป็นพื้นดิน น้ำทะเลที่เคยท่วมพื้นที่จึงค่อย ๆ แห้งไปตามกาลเวลา การกัดเซาะของแม่น้ำโขงและแม่น้ำชีทำให้เกิดภูมิประเทศแบบที่ราบและภูเขาหินทรายในปัจจุบัน


แม้ว่าอีสานจะเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของไดโนเสาร์มากมาย แต่ไดโนเสาร์ในภูมิภาคนี้กลับสูญพันธุ์ไปก่อนที่ไดโนเสาร์ทั่วโลกจะหายไป นักวิทยาศาสตร์พบว่า ไดโนเสาร์กลุ่มสุดท้ายในภาคอีสานมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 100 ล้านปีก่อน หลังจากนั้น พื้นที่แห่งนี้ก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ครั้งใหญ่ ระดับน้ำทะเลเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง และน้ำทะเลได้ไหลเข้าท่วมภาคอีสานจนกลายเป็นแอ่งน้ำเค็มขนาดใหญ่ ไดโนเสาร์ที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ไม่สามารถปรับตัวได้ จึงอพยพออกไปและในที่สุดก็สูญพันธุ์ไปจากดินแดนไทย
หลังจากที่น้ำทะเลไหลเข้าท่วมอีสาน แอ่งน้ำเค็มขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป น้ำระเหยออกไปจนเหลือเพียงชั้นของเกลือสะสมอยู่ในดิน เกิดเป็นแอ่งเกลือสินเธาว์ ที่พบได้ทั่วไปในภาคอีสาน ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่า พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน แอ่งเกลือนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ไดโนเสาร์ในอีสานสูญพันธุ์ไปแล้ว ในขณะที่ไดโนเสาร์ทั่วโลกยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพื้นที่ภาคอีสานนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อนและได้ยกตัวขึ้นเป็นภูเขาและภูเขาไฟหลายแห่ง รวมทั้งพื้นที่บางแห่งทรุดตัวลงกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำและทะเลสาบที่มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณ และนั้นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พื้นที่ในภาคอีสานของเรามีการค้นพบไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์

กาฬสินธุ์ แหล่งขุดค้นพบซากสัตว์ยุคบรรพกาลร้อยล้านปีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลึกลงไปใต้ผืนดินแห่งภาคอีสาน สิ่งที่ซ่อนอยู่ คือ ความลับอันยิ่งใหญ่ ที่มีความเก่าแก่กว่า 150 ล้านปี เมื่อเวลาย้อนกลับไปในยุคจูราสสิค ผืนดินที่เราเรียกว่า “กาฬสินธุ์” ในวันนี้ เคยเป็นถิ่นอาศัยของเหล่าไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ ที่เคยเดินย่ำ หากิน และสร้างอาณาจักรของพวกมันที่นี่ วันนี้เราจะพาย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับโลกยุคดึกดำบรรพ์ ณ สองแหล่งขุดค้นซากฟอสซิลที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ภูกุ้มข้าว และภูน้อย แหล่งขุมทรัพย์แห่งความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และตำนานที่ทำให้กาฬสินธุ์กลายเป็น “จูราสสิคพาร์คเมืองไทย”
ภูกุ้มข้าว แหล่งขุดค้นที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดของกระดูกไดโนเสาร์
ข้อมูลที่น่าสนใจจากพิพิธภัณฑ์สิรินธรได้เผยว่า การค้นพบซากฟอสซิลที่ภูกุ้มข้าวเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2513 เมื่อพระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน พบชิ้นส่วนกระดูกคล้ายไม้กลายเป็นหินระหว่างนำคณะสงฆ์ไปพัฒนาพื้นที่ ความน่าสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อในปี พ.ศ. 2535 ท่านได้นิมิตเห็นสัตว์ขนาดใหญ่คอยาวเล่นน้ำในสระวัด และในปี พ.ศ. 2537 ท่านได้รับนิมิตเห็นพระสงฆ์ชี้ไปยังจุดที่ภายหลังกลายเป็นแหล่งขุดค้นสำคัญ
หลังจากพบกระดูกที่มีลักษณะเป็นหินโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินหลายชิ้น ท่านได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำโดยนายวราวุธ สุธีธร นักธรณีวิทยา และคณะสำรวจจากกรมทรัพยากรธรณี พบว่าเป็นแหล่งสะสมซากกระดูกไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย จึงได้ก่อตั้ง “อาคารหลุมขุดค้นไดโนเสาร์” และ “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” ขึ้น



ความพิเศษของภูกุ้มข้าวและพิพิธภัณฑ์สิรินธร
ห้องปฏิบัติการนักบรรพชีวิน
อีกหนึ่งจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือห้องทำงานของนักบรรพชีวินที่มีกระจกขนาดใหญ่ ทำให้ผู้เข้าชมสามารถชมการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างใกล้ชิด นักบรรพชีวินทำการศึกษา ทำความสะอาด และอนุรักษ์ฟอสซิลที่ค้นพบใหม่ตรงหน้าผู้เข้าชม ช่วยให้เข้าใจถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนในการศึกษาซากดึกดำบรรพ์

หลุมขุดค้นฟอสซิลภูเวียงโกซอรัส
หนึ่งในไฮไลท์ที่โดดเด่นที่สุดของพิพิธภัณฑ์คือหลุมขุดค้นฟอสซิลที่สมบูรณ์ของ “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน” (Phuwiangosaurus sirindhornae) ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินพืชคอยาวที่พบในประเทศไทย ผู้เข้าชมสามารถเห็นซากฟอสซิลในสภาพที่ใกล้เคียงกับที่นักบรรพชีวินค้นพบ ทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การขุดค้นทางโบราณคดีอย่างใกล้ชิด

หุ่นจำลองไดโนเสาร์ขนาดเท่าจริง
บริเวณภายนอกพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงหุ่นจำลองไดโนเสาร์หลายชนิดในสภาพแวดล้อมที่จำลองถิ่นที่อยู่อาศัยในยุคโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส” (Siamotyrannus isanensis) ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) ไดโนเสาร์กินเนื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก การได้เห็นหุ่นจำลองขนาดเท่าจริงช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจขนาดและสัดส่วนที่แท้จริงของสัตว์โบราณเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

ภูน้อย จูราสสิคพาร์คเมืองไทย แหล่งขุดค้นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากพูดถึงแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญในภาคอีสานแล้ว หนึ่งในนั้นก็ต้องมี “ภูน้อย”เป็นสถานที่สำคัญที่แนะนำ ภูน้อย ตั้งอยู่ที่บ้านโคกสนาม หมู่ 3 ตำบลดินจี่ อำเภอคำม่วง เป็นอีกหนึ่งแหล่งค้นพบซากดึกดำบรรพ์สำคัญที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สุสานไดโนเสาร์แห่งอีสาน” เพราะมีการค้นพบซากฟอสซิลจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง กว่าจะมาเป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่เต็มไปด้วยประวัติและตำนานของไดโนเสาร์นั้นก็มีความเป็นมายาวนานกว่าสิบปีแล้ว วันนี้เราจะพามารู้จักกับประวัติของ “ภูน้อย” แหล่งซากดึกดำบรรพ์จากดินแดนไดโนเสาร์ ที่จังหวัดกาฬสินธุ์กัน

จากเกล็ดปลาเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านค้นพบสู่การค้นพบอันยิ่งใหญ่
ความพิเศษและน่าสนใจของที่นี่คือเปรียบเสมือนสุสานไดโนเสาร์แห่งอีสาน เพราะไม่ว่าจะขุดเท่าไหร่ก็เจอซากไดโนเสาร์เรื่อย ๆ ที่มีอายุมานานนับร้อย ห้าสิบล้านปี และสถานที่เข้าชมนั้นสามารถเข้าชมซากดึกดำบรรพ์ได้อย่างใกล้ชิดทำให้เห็นถึงความชัดและความละเอียดได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีนักบรรพชีวินที่คอยให้ความรู้ไปด้วย คือ คุณพ่อสมปูน โสมา ที่เป็นผู้เชียวชาญในการขุดค้นชากดึกดำบรรพ์อยู่ที่ภูน้อย
การค้นพบแหล่งซากดึกดำบรรพ์ภูน้อยหรือที่รู้จักกันในนาม “จูแรสสิกพาร์คเมืองไทย” เริ่มต้นเมื่อปี 2551 โดยนายทองหล่อ นาคำจันทร์ และนายวิไล ก้อนดินจี่ ได้พบชิ้นส่วนประหลาด เป็นเกล็ดสีดำมันเลื่อมเป็นชิ้นส่วนของเกล็ดปลากระดูก เข็งโบราณ ซากดึกดำบรรพ์ชิ้นแรก ๆ ที่พบพร้อมกับ ชิ้นส่วนฟันไดโนเสาร์ และกระดูกไดโนเสาร์ และต่อมา นายเลิศบุศย์ กองทอง นายอำเภอคำม่วงในขณะนั้นได้ตรวจสอบ จากนั้นจึงส่งชิ้นส่วนไปยังพิพิธภัณฑ์สิรินธร ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ปลาโบราณและกระดูกของไดโนเสาร์

ความสำคัญของภูน้อยเริ่มปรากฏชัดในปี 2553 เมื่อคณะสำรวจไทย-ฝรั่งเศส นำโดย ดร.วราวุธ สุธีธร และ ดร.อีริค บุฟโต ทำการขุดทดสอบทางตะวันออกเฉียงใต้ของภูน้อยและพบกระดูกไดโนเสาร์ซอโรพอดขนาดใหญ่ที่ไม่เคยพบมาก่อน คาดว่ามีลำตัวยาวถึง 20 เมตร นอกจากนี้ยังพบฟันจระเข้ ฟันฉลาม เกล็ดปลา และเศษกระดองเต่าในบริเวณร่องน้ำใกล้เคียง การค้นพบนี้นำไปสู่การพัฒนาให้เป็นแหล่งขุดค้นที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความน่าสนใจของภูน้อยไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของซากดึกดำบรรพ์เท่านั้น แต่ยังมากด้วยความหลากหลายของสายพันธุ์ ทั้งไดโนเสาร์กินพืชซอโรพอด ไดโนเสาร์กินเนื้อ เทอโรซอร์ เต่า จระเข้ ฉลาม และปลากระดูกแข็งโบราณ หลังจากมีการตั้งคณะทำงานด้านการสำรวจและศึกษาวิจัยในปี 2554 การขุดค้นดำเนินอย่างต่อเนื่องและพบซากดึกดำบรรพ์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขุดก็ยิ่งเจอ จนภาครัฐและประชาชนได้ร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งไดโนเสาร์ภูน้อยให้เป็นที่รู้จักผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ปั่นจักรยานเสือภูเขารอบภูน้อย การแถลงข่าว และการคืนความรู้สู่ชุมชน
ต่อมาในปี 2555 กรมทรัพยากรธรณีได้ออกประกาศกำหนดให้พื้นที่บริเวณภูน้อยเป็นเขตสำรวจและศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ ในปีเดียวกันนี้มีการค้นพบ “เจ้าฟันคม” นักล่าแห่งยุคจูราสสิค และ “น้องชงโค” ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ที่ม้วนหางอยู่ไม่ไกลกัน รวมถึงการแถลงข่าวค้นพบปลากระดูกแข็งชนิดใหม่ของโลกชื่อ “อีสานอิกธิส เลิศบุศย์ศี” ซึ่งเป็นการตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติแก่นายอำเภอเลิศบุศย์ ผู้มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดแหล่งภูน้อยแห่งนี้
มาถึงปี 2557 การขุดค้นก็ยังคงดำเนินต่อไปและพบฟอสซิลอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2,000 ชิ้น และได้มีการพัฒนาศูนย์เรียนรู้บรรพชีวินภูน้อยบริเวณใกล้หลุมขุดค้น และสร้างเครือข่ายโรงเรียนในตำบล 3 แห่ง พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายครูแกนนำเพื่อขยายการให้ความรู้แก่ชุมชน
ต่อมาปี 2558 มีการประกาศค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่เพิ่มเติมอีก 2 ชนิด คือ เต่า “ภูน้อยเชลิส ธีรคุปติ” และฉลามน้ำจืด “อะโครดัส กาฬสินธุ์เอนซิส” ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำคัญทางวิชาการของแหล่งภูน้อย
ปัจจุบัน ภูน้อยได้พัฒนาจากแหล่งขุดค้นสู่แหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย และยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการท่องเที่ยวในอำเภอคำม่วงที่เชื่อมโยงทั้งเรื่องราวของวิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรม และดินแดนดึกดำบรรพ์เข้าด้วยกัน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการศึกษาที่สำคัญของจังหวัดกาฬสินธุ์และภาคอีสาน
 
     
         
        