ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและโครงสร้างแรงงานในประเทศไทย แรงงานไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกมานาน ทั้งการจ้างงานที่ไม่มั่นคง การเข้าถึงสิทธิแรงงานที่ไม่เท่าเทียมและการขาดอำนาจต่อรองในตลาดแรงงานที่ถูกกำหนดโดยเงินทุนและนโยบายที่เอื้อให้นายจ้างมากกว่าลูกจ้าง แม้รัฐจะมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมสิทธิแรงงานตามหลักสากล แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ารูปแบบการจ้างงานที่หลากหลายรวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาจ้างของรัฐ รัฐวิสาหกิจและการจ้างงานแบบยืดหยุ่นได้ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอีสานให้ตกอยู่ในสภาวะเปราะบาง ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการหรือการคุ้มครองได้อย่างทั่วถึง

บทความนี้จึงอยากชวนผู้อ่านทบทวนสถานการณ์แรงงานในภาคอีสาน ผ่านมุมมองด้านสิทธิมนุษยชนและแนวโน้มของระบบแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เพื่อมองเห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบแรงงานไทยให้เท่าทันและเป็นธรรมยิ่งขึ้น ก่อนอื่นผู้เขียนอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า ประเทศไทยในปัจจุบันนั้น ไม่ได้มีเพียงแรงงาน ในระบบและแรงงานนอกระบบแต่ยังมีแรงงานในอีกหลายประเภท ที่ปัจจุบันยังคงถูกริดรอนสิทธิจากช่องหว่างทางกฎหมายและการคุ้มครองแรงงานของภาครัฐ ประกอบไปด้วย แรงงานแพลตฟอร์ม เช่น ไรเดอร์ส่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน แรงงานข้ามชาติ แรงงานไทยในต่างประเทศ แรงงานกลุ่มจ้างเหมาบริการและแรงงานบริการ ซึ่งกลุ่มแรงงานทั้งหมดนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งสัญญาจ้างที่ไม่แน่นอน สวัสดิการและการคุ้มครองทั้งในระหว่างทำงานและหลังกรณีถูกเลิกจ้างงาน
เรื่องราวจากวงประชุมชน แลกเปลี่ยน และข้อเสนอแนะหลายอย่างถูกหยิบยกมาสะท้อนผ่านตัวแทนกลุ่มแรงงานที่เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนงานสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568 ในประเด็น สิทธิแรงงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการให้ข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนและให้ข้อเสนอแนะได้สะท้อนให้เห็นชัดว่ายังมีแรงงานจำนวนไม่น้อยในภาคอีสานที่ยังประสบกับปัญหาด้านรายได้และสวัสดิการที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการทำงานจริง โดยเฉพาะแรงงานที่อยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่มั่นคง เช่น แรงงานจ้างเหมาบริการ แรงงานนอกระบบ และแรงงานแพลตฟอร์ม ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักเผชิญกับการถูกเอารัดเอาเปรียบในเรื่องค่าตอบแทน การไม่มีหลักประกันทางสังคม และขาดความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังพบว่าการเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ของแรงงานบางกลุ่ม เช่น แรงงานข้ามชาติและแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดทั้งในแง่กฎหมาย โครงสร้างบริการของรัฐ และการขาดกลไกดูแลอย่างเป็นระบบ สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างด้านสิทธิมนุษยชนแรงงานที่ยังต้องได้รับการทบทวนและแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างหลักประกันพื้นฐานที่เท่าเทียมให้กับแรงงานทุกกลุ่ม

แรงงานไทยในภาคอีสาน กับข้อท้าทายด้านความมั่นคง ที่เปรียบเหมือนเส้นด้าย บนเงื่อนไขสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม
แรงงานหลายคนเริ่มต้นจากสัญญาจ้างแบบชั่วคราว ที่ต้องได้รับการต่ออายุเป็นระยะ ๆ แต่ในปัจจุบัน รูปแบบการจ้างงานดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปแบบเป็น “สัญญาจ้างเหมาบริการ” ซึ่งยิ่งสร้างความไม่มั่นคงให้กับชีวิตของแรงงานมากขึ้น เพราะต้องต่อสัญญาทุก ๆ 3 เดือน โดยไม่มีหลักประกันใด ที่สามารถยืนยันว่าแรงงานเหล่านั้นจะได้รับการต่อสัญญาในรอบถัดไป อีกทั้งลักษณะของงานที่ทำเป็นรูปแบบงานประจำ ที่หนักไปกว่านั้น คือแรงงานที่อยู่ภายใต้ระบบจ้างเหมามักถูกตัดสิทธิประโยชน์ที่แรงงานประจำพึงมี เช่น สิทธิในการลาโดยได้รับค่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการลาป่วย ลากิจ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ หากหยุดงานในวันดังกล่าว แรงงานจ้างเหมามักจะไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนเลย ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายค่าล่วงเวลาที่ควรจะเป็นสิทธิของแรงงานตามกฎหมาย แต่เมื่อเงินค่าตอบแทนนั้นถูกจัดหมวดใหม่เป็น เงินบำรุงสถานที่ ซึ่งไม่ได้อยู่ในงบประมาณประจำสำหรับการจ่ายค่าล่วงเวลาโดยตรง ทำให้เมื่องบประมาณส่วนนี้ไม่เพียงพอหรือผู้บริหารหน่วยงานเห็นว่าไม่ควรอนุมัติ ก็สามารถตัดสินใจไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้กับแรงงานได้ทันที ทั้งที่แรงงานได้ทำงานเกินเวลาและควรได้รับค่าตอบแทนตามสมควรก็ตาม
เงินค่าล่วงเวลาและเงินสวัสดิการที่กระทรวงให้มา เราไม่ได้ตามที่ควรจะเป็นเพราะติดอยู่ที่เงินบำรุงที่กฎหมายระบุว่า แล้วแต่สถานะเงินบำรุงแต่ละที่
ธเนตร ยังใจ ตัวแทนกลุ่มแรงงานในระบบ

แรงงานแพลตฟอร์มหรือ ไรเดอร์ ก็ต้องเผชิญกับความเปราะบางทางสิทธิแรงงานไม่ต่างกัน แม้งานลักษณะนี้จะดูเหมือนมีอิสระในการเลือกวันและเวลาทำงานได้ตามความสะดวก ซึ่งอาจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ไรเดอร์ต้องแลกมาคือการขาดซึ่งหลักประกันพื้นฐานในการทำงาน ไรเดอร์ส่วนใหญ่ไม่ถูกนับว่าเป็นลูกจ้าง ตามนิยามของกฎหมายแรงงาน หากแต่ถูกจัดประเภทให้เป็น ผู้รับงานอิสระหรือพาร์ตเนอร์ธุรกิจกับแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เช่น การประกันอุบัติเหตุ การลาป่วย การลาคลอด หรือแม้แต่สิทธิในการเข้าระบบประกันสังคมในมาตรา 33 แบบที่ลูกจ้างทั่วไปควรได้รับ จนกลายเป็นว่าหากแรงงานเหล่านั้นต้องการความคุ้มครองใด ๆ พวกเขาต้องสมัครและจ่ายเงินสมทบเองทั้งหมด ผ่านประกันสังคมมาตรา 39 หรือ 40
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง ค่าแรง ที่ไม่เป็นธรรมจากฝั่งแพลตฟอร์มเอง เช่น รายได้ของไรเดอร์ขึ้นอยู่กับจำนวนงานที่ทำได้ในแต่ละวัน และอัตราค่ารอบซึ่งถูกกำหนดโดยแพลตฟอร์มเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีพื้นที่ให้แรงงานร่วมกำหนดหรือเจรจาต่อรองใด ๆ อีกทั้งยังมีการแข่งขันภายในระบบสูง ทำให้ไรเดอร์จำนวนมากต้องทำงานเกินเวลาในแต่ละวัน เพื่อให้ได้รายได้พอเลี้ยงชีพ ที่สำคัญรายได้ที่ดูเหมือนจะพอใช้ได้ ก็ต้องนำมาหักลบด้วยต้นทุนที่ไรเดอร์ต้องแบกรับเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถ ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงค่าดูแลร่างกายที่สึกหรอจากการทำงานหนักในสภาพอากาศร้อน ฝนตก หรือแม้แต่กลางคืน โดยไม่มีระบบช่วยเหลือหรือเยียวยาจากบริษัทแพลตฟอร์มเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งในปัจจุบันได้มีการกำหนดเกณฑ์ใหม่ โดยกำหนดให้ไรเดอร์ต้อง ลงเวลารับงานล่วงหน้า เพื่อเลือกพื้นที่และช่วงเวลาที่ตนเองต้องการทำงาน หากไรเดอร์ไม่ทำการลงเวลาหรือไม่ได้ล็อกพื้นที่ไว้ล่วงหน้า ระบบจะมอบหมายงานที่อยู่นอกเขตเมือง หรือในพื้นที่ที่มีคำสั่งซื้อน้อย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และต้นทุนการเดินทางของไรเดอร์ ซึ่งขัดกับการทำงานแบบอิสระอย่างชัดเจน
ปัจจุบันแพลตฟอร์มมีการปรับเปลี่ยนให้ลงเวลาทำงานในแต่ละรอบ กลายเป็นว่าตอนนี้เรามีทั้ง นายจ้าง สัญญาจ้าง และเวลาทำงานที่ไม่อิสระแล้วจึงควรมีสวัสดิการตามกฎหมายให้เราและควรมีมาตรฐานคุ้มครองสิทธิแรงงานให้ครอบคลุม เพราะปัจจุบันเราต้องจ่ายเงินประกันชีวิตกันเอง
วรสิทธิ์ นุชนารถ ตัวแทนไรเดอร์ส่งอาหารแอปพลิเคชั่น

แรงงานข้ามชาติ กลุ่มแรงงานที่ถูกละเลยและเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด
อีกกลุ่มแรงงานที่มักถูกละเลยและตกอยู่ในความเปราะบางมากที่สุด คือ แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยถูกผลักให้ทำงานในภาคเศรษฐกิจฐานล่าง เช่น ภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม ประมง หรือบริการในเมืองใหญ่ แม้แรงงานเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและการเอารัดเอาเปรียบในหลากหลายรูปแบบ ประการแรก คือ กำแพงด้านภาษา และความไม่เข้าใจกฎหมายแรงงานไทย ทำให้แรงงานข้ามชาติจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าจ้างล่าช้า การไม่จ่ายค่าล่วงเวลา หรือการยึดเอกสารสำคัญ เช่น หนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวแรงงาน แรงงานข้ามชาติยังเผชิญกับ ความยากลำบากในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิด้านสุขภาพและความปลอดภัย แม้ในทางกฎหมายแรงงานจะมีระบบการคุ้มครองอยู่ เช่น การขึ้นทะเบียนประกันสังคมที่แรงงานข้ามชาติมีสิทธิเข้าร่วมเช่นเดียวกับแรงงานไทย โดยจ่ายเงินสมทบร่วมกันกับนายจ้างและรัฐ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมด้านการรักษาพยาบาล คลอดบุตร ว่างงาน และชราภาพ
ขณะเดียวกัน สำหรับแรงงานที่เข้ามาในประเทศไทยตามระบบ MOU หรือทำงานในสาขาที่อยู่นอกระบบ เช่น งานแม่บ้าน เกษตรกรรม หรือประมง ซึ่งไม่สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้ รัฐก็มีระบบ ประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ผ่านกระทรวงสาธารณสุข ที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย มีค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 2,100 บาท แต่ในทางปฏิบัติ แรงงานข้ามชาติจำนวนมากกลับไม่สามารถเข้าถึงสิทธิเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง ด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น นายจ้างไม่ยอมขึ้นทะเบียนให้แรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคม ไม่จ่ายเงินสมทบ หรือปล่อยให้แรงงานรับผิดชอบเอง ขณะที่ระบบประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเองก็ยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพบริการ การเข้าถึงในพื้นที่ห่างไกลและการให้ข้อมูลในภาษาที่แรงงานเข้าใจด้วย

สิทธิแรงงานไทยในต่างแดน ภาพสะท้อนการถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติ
เช่นเดียวกับกรณีของแรงงานไทยในต่างประเทศ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาในลักษณะเดียวกับแรงงานข้ามชาติในไทย พวกเขามักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจากนายหน้า ด้วยข้อเสนอด้านรายได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแรงงานจากภาคอีสานจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจเดินทางไปทำงานเก็บเบอร์รี่ในประเทศฟินแลนด์ สวีเดนและประเทศอื่น ๆ แรงงานเก็บเบอร์รี่จำนวนมากต้องเผชิญกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรม ตั้งแต่ค่าแรงที่ผันผวนตามผลผลิต การไม่มีสัญญาจ้างที่ชัดเจน ไปจนถึงการขาดหลักประกันด้านสวัสดิการตามข้อกฎหมายของประเทศปลายทาง ในความเป็นจริงพวกเขาต้องทำงานหนักวันละ 12-18 ชั่วโมง โดยต้องรับภาระค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอุปกรณ์ และค่าอาหารทั้งหมดเอง แรงงานจำนวนไม่น้อยต้องแบกรับภาระหนี้สินจากการกู้เงินเพื่อนำไปจ่ายค่านายหน้า และสุดท้ายกลับต้องทำงานภายใต้สัญญาที่ไม่เป็นธรรม ถูกกดขี่เอาเปรียบ และเมื่อเลือกจะเดินทางกลับประเทศก็ยังต้องเผชิญกับหนี้สินที่ยังไม่หมดไป ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ แม้แรงงานเหล่านี้จะพยายามยื่นเรื่องร้องเรียนและขอความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาหรือการแก้ไขอย่างเป็นธรรมจากภาครัฐเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากรัฐมักอ้างว่าแรงงานเดินทางไป โดยสมัครใจ และไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริง การสมัครใจของแรงงานจำนวนมากถูกผลักดันมาจากความจน ขาดโอกาส และการถูกชักจูงจากโฆษณาที่บิดเบือน
แม้เราจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือการจ้างงานที่ไม่เป็นไปตามสัญญา แต่เมื่อเราไปเรียกร้องหรือต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ เรามักจะถูกปฏิเสธเสมอด้วยคำว่า เราสมัครใจไปเอง
ไพรสันติ จุ้มอังวะ รองประธานสหภาพคนทำงานต่างประเทศแห่งประเทศไทย

แรงงานภาคบริการ และแรงงานนอกระบบ กลุ่มแรงงานที่ละเลยและมองข้ามด้านนโยบายและสิทธิจากรัฐ
กลุ่มแรงงานบริการและแรงงานนอกระบบ เป็นกลุ่มถูกหลงลืมด้วยความไม่ตั้งใจ หรือตั้งใจในนโยบายของรัฐมาโดยตลอด แรงงานกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านแรงงานอย่างเท่าเทียม ทั้งสิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิการเข้าร่วมประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 33 ที่ครอบคลุมแรงงานในระบบ มาตรา 39 สำหรับผู้ที่เคยอยู่ในระบบ หรือแม้กระทั่งมาตรา 40 ที่เปิดช่องทางให้แรงงานนอกระบบสมัครใจเข้าสู่ระบบความคุ้มครองของรัฐ ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านรายได้ ความไม่รู้ และระบบที่ซับซ้อน ทำให้แรงงานจำนวนมากยังคงอยู่นอกระบบความคุ้มครองอย่างถาวร ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ แรงงานเหล่านี้ยังเผชิญกับความไม่ชัดเจนของกฎหมายแรงงานที่ยังไม่ยอมรับอาชีพของพวกเขาอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่สามารถต่อรอง หรือเรียกร้องสิทธิได้เต็มที่ และในบางกรณีกลับถูกเลือกปฏิบัติหรือละเมิดสิทธิจากเจ้าหน้าที่รัฐเสียเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกอยู่ในระบบการจัดการแรงงานของประเทศไทย ซึ่งยังคงมองไม่เห็นแรงงานบางกลุ่มในฐานะมนุษย์ผู้มีศักดิ์ศรีและควรได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแรงงานจำนวนมากในภาคอีสานยังคงถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบที่ซับซ้อนและเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม การขาดหลักประกันทางสังคม หรือการถูกผลักให้ตกอยู่ในพื้นที่นอกการคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน การมีอยู่ของ ช่องว่างทางกฎหมายซึ่งไม่ครอบคลุมแรงงานในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้แรงงานจำนวนมากเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียม และไม่สามารถรวมกลุ่มหรือเจรจาต่อรองกับนายจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ



อีกหนึ่งความเห็นที่น่าสนใจในวงเสนา คือ การเข้าร่วมอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่จะทำให้แรงงานกลุ่มต่าง ๆ มีสิทธิและเสรีภาพในการรับรองสิทธิของคนงาน และนายจ้างในการจัดตั้งและเข้าร่วมองค์กรของตนโดยเสรี โดยไม่มีการแซกแซงจากรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจอื่นได รวมถึงการได้รับความคุ้มครองทางสิทธิในการรวมตัวกันของคนงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง รวมไปถึงการส่งเสริมการเจรจาต่อรองร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันและกำหนดเงื่อนไขการจ้างงาน และการคุ้มครองคนงานจากการเลือกปฏิบัติหรือการกระทำที่ไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือการมีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรอง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้มีการเข้าร่วมให้สัตยาบันกับอนุสัญญาอังกล่าว ถึงแม้จะมีการกดดันและเรียกร้องจากภาคแรงงานทั้งในไทย แะลองค์กรด้านการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ก็ตาม แต่หากไทยเข้าร่วมอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ คุณภาพชีวิต สิทธิ การคุ้มครอง สวัสดิการและความมั่นคงในการดำรงชีวิตของแรงงานทุกกลุ่มดีขึ้น รวมถึงด้านเศรษฐกิจ สังคม และภาพลักษณ์ของประเทศด้วย นอกเหนือจากการปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่มแล้ว ยังจำเป็นต้องเสริมสร้างกลไกปฏิบัติให้เข้มแข็งเปิดพื้นที่ให้แรงงานสามารถร้องเรียนและเข้าถึงความยุติธรรมได้จริง โดยไม่ต้องเกรงกลัวการถูกเลือกปฏิบัติหรือละเมิดสิทธิซ้ำอีก