soundisan locals news

ปากแบงถึงพูงอย เขื่อนแม่น้ำโขง หายนะข้ามพรมแดน เมื่อสายน้ำเปลี่ยน ชีวิตคนพัง

เรื่อง สกุลรัตน์ สองจันทร์

นับตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำโขงตอนบนและตอนกลางช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาไม่เพียงแต่กระแสน้ำของแม่น้ำสายสำคัญนี้จะเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิมแต่สิ่งที่ประเทศไทยต้องสูญเสียกลับมีมากกว่านั้นหลายเท่า ทั้งในด้านของมูลค่าทางเศรษฐกิจ ระบบนิเวศตามแนวลำน้ำโขง ตั้งแต่พันธุ์ปลาเฉพาะถิ่น พืชน้ำตามฤดูกาล นกอพยพ ไปจนถึงป่าบริเวณริมน้ำ ต่างทยอยเสื่อมสลายลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนที่เคยผูกพัน กับแม่น้ำโขง ทั้งการจับปลา การปลูกพืชผักตามแนวริมตลิ่ง และประเพณีท้องถิ่นที่ล้วนผูกโยงกับจังหวะการขึ้นลงของแม่น้ำโขง ที่กำลังถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีทางเลือก ในขณะเดียวกันความรุนแรงของภัยพิบัติจากธรรมชาติ ทั้งภาวะน้ำหลากฉับพลันและช่วงแล้งที่ยาวนานก็เริ่มจะทวีความถี่และ ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประชาชน นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาสังคมจำนวนมากต่างพยายามส่งเสียงเตือนถึง ผลกระทบของเขื่อนเหล่านี้ ไม่ว่าจะผ่านเวทีสาธารณะ รายงานการวิจัย หรือการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์แต่เสียงเหล่านั้นกลับดูคล้ายจะถูก ละเลยไป เมื่อแผนพัฒนาเขื่อนยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งใน ลุ่มน้ำโขงตอนบนที่ไหลมาจากจีน ลาว และแม้กระทั่งตามแม่น้ำสาขา ในประเทศไทย

เวทีเสวนา ช่วงที่ 1

เวทีเสวนาเขื่อนปากแบงถึงพูงอย: ชุมชนร้องสิทธิที่หล่นหายกับสายน้ำ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ได้มีการจัดเวทีเสวนา เรื่อง เขื่อนปากแบงถึงเขื่อนพูงอย ณ โรงแรมโฮเทลมุก อำเภอเมือง จ.มุกดาหาร เพื่อทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน ในแม่น้ำโขง  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโครงการพัฒนาเขื่อนยังคงเดินหน้าอย่างต่อ เนื่อง จากเขื่อนไซยะบุรี เขื่อนดอนสะโฮง สู่เขื่อนปากแบงและเขื่อนพูงอย ที่เตรียมจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้ ท่ามกลางเสียงร้องเรียนจาก ประชาชนในหลายจังหวัดตลอดริมฝั่งแม่น้ำโขง ถึงผลกระทบที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของปลาและพืชพรรณที่หายไปนับร้อย ชนิด แต่รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบนิเวศลุ่มแม่น้ำ วัฒนธรรม และความมั่นคงทางอาหารของผู้คนในพื้นที่อีกด้วย ในแผนพัฒนาพลัง งานระดับชาติ แม่น้ำกลายเป็นเพียงเส้นทางหนึ่ง บนแผนที่ ที่กำลังถูกกำหนดหน้าที่ใหม่ คือ การผลิตไฟฟ้า เพื่อป้อนความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ เติมตัวเลข GDP ให้เติบโต ในปัจจุบันแม่น้ำจึงถูก ตีกรอบด้วยคำว่า ทรัพยากร ที่รัฐสามารถวางแผนใช้งานได้ตามต้องการ 

เวทีสาธารณะครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนปัญหาของผลกระทบข้ามพรมแดน ในมิติด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ในด้านกฎหมายที่ยังมีช่องโหว่ เปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจสามารถ เดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ อย่างเขื่อนในแม่น้ำโขง ต่อไปได้ นอกจากนี้ข้อกังวลของชุมชนต่อกฎหมายที่ดูเหมือนออกแบบมาเพื่อปกป้องสิทธิชุมชนและทรัพยากรธรรมชาตินั้นยังมีอยู่มาก เพราะในทางปฏิบัติแล้ว ข้อกฎหมายเหล่านี้ กลับพบช่องว่างในกระบวนการทางกฎหมายและอาจถูกใช้เป็นเครื่อง มือเอื้อให้เกิดการตัดสินใจที่ละเลยต่อผลกระทบของผู้คนและสิ่งแวด ล้อมบริเวณลุ่มน้ำ 

วงเสวนาเริ่มต้นขึ้นด้วยการสะท้อนผลกระทบจากเขื่อนแม่น้ำโขงที่เกิด ขึ้นใน 4 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี หนองคาย เลย และนครพนม หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมามากที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลง ของระบบนิเวศและความเสถียรของแหล่งอาหาร ซึ่งเคยเป็นฐานชีวิต ของชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขง เพราะจากพื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลา และพืชพื้นถิ่น กลับค่อย ๆ กลายเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตกำลังจะเลือนหาย ไปทีละน้อย จากเดิมที่ชาวบ้านสามารถจับปลาในแม่น้ำโขง ใช้เวลาไม่นาน ก็ได้ปลาเพียงพอสำหรับการบริโภคและค้าขาย แต่ปัจจุบันแม้จะใช้เวลาออกเรือทั้งวัน ก็แทบจะไม่ได้ปลากลับมาเลย แม้แต่ตัวเดียว

เมื่อก่อน หาปลาไม่ถึง 10 นาทีก็ได้ปลาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีปลาให้จับ พืชที่เคยเป็นแหล่งอาหารแหล่งอนุบาลสัตว์ก็หายไป กลายเป็นพืชที่กินไม่ได้เข้ามาแทน

อานัน อวีสุข จ.มุกดาหาร

สิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าพืชที่กินไม่ได้ ก็คือพืชรุกรานอย่างไมยราบ หรือหญ้าไม่มีประโยชน์ ที่เข้ามาแทนที่พืชผักพื้นบ้านที่เคยเกิดขึ้นเอง ตามฤดู เช่น ผักหนาม ผักอีเลิด และสาหร่ายน้ำจืด ซึ่งไม่เพียงเป็นอาหารของคน แต่ยังเป็นพื้นที่ฟักตัวของลูกปลา และสัตว์น้ำหลากหลายชนิด นอกจากนี้กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวขึ้น ยังพัดเอาตะกอนจากแม่น้ำหายไปจนเกือบหมด เกิดปรากฏการณ์ น้ำใส (น้ำสีคราม)  ที่แม่น้ำโขง ดูเผิน ๆ อาจเหมือนเป็นเรื่องดี แต่สำหรับคนที่เกิดและโตมากับแม่น้ำโขง น้ำที่ใสนั้น คือ สัญญาณของ ระบบนิเวศที่ผิดปกติอย่างรุนแรง เพราะเมื่อปลาขาดที่ซ่อนตัว ขาดแหล่งอนุบาลและปรากฏตัวให้เห็นด้วยตาเปล่าก็กลายเป็นเป้าของการจับปลาที่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลาที่จับมานั้นเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่วางไข่ในอนาคต

ภาพจาก Hug ChaingKhan วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรริมโขง & ประมงพื้นบ้าน

นอกจากนี้ความผิดปกติของกระแสน้ำยังส่งผลต่อการอพยพและวางไข่ของปลาบางชนิดอีกด้วยเพราะกระแสน้ำที่ไหลแรงทำให้ปลาไม่ สามารถวางไข่ หรืออพยพข้ามเขื่อนได้สำเร็จ ซึ่งชาวบ้านสังเกตจาก ปลาชนิดหนึ่งที่มักจะอพยพเพื่อนขึ้นไปว่างไข่ในช่วงฤดูฝน แต่มันกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  ซึ่งเกิดจาก การที่ปลาไม่สามารถว่ายข้ามเขื่อนเพื่อไปวางไข่ตามสถานที่ที่เดิมที่เคยวางได้ จึงมีการว่ายย้อนกลับมาที่เดิม

ปกติปลาพันธุ์นี้มันจะอพยพช่วงหน้าฝน ไม่มีใครจับได้ แต่ตอนนี้กลับจับได้เพราะมันย้อนกลับมา เพราะมันว่ายข้ามเขื่อนไม่ได้ นี่คือผลกระทบจากเขื่อนที่จับต้องได้จริง ๆ

ชาญณรงค์ วงลา จากจังหวัดเลย

ฟ้องศาลปกครองแต่ไร้ผล: ชุมชนไร้ที่พึ่งทางกฎหมาย

สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้ชาวบ้านมากยิ่งกว่าการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งอาหารก็คือความพยายามของพวกเขาที่จะเรียกร้อง ความยุติธรรม ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย แต่ข้อเรียกร้องเหล่านั้นก็มักจะลงเอยด้วยการถูกปฏิเสธ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเคยรวมตัวกันฟ้องศาลปกครองพร้อมทั้งนำ ข้อมูลจากในพื้นที่และข้อมูลวิจัยจากนักวิชาการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อไปยืนยันว่าพวกเขาคือผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนเหล่านั้น แต่ศาลกลับตัดสินว่า  พวกเขาไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง  ความเจ็บปวดนี้สะท้อนถึงช่องโหว่ใหญ่ของระบบนโยบายและกฎหมายในประเทศไทยที่ไม่ครอบคุ้มในเรื่องของการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติของประเทศตนเอง  

เราได้มีการรวมตัวกันเพื่อไปฟ้องร้องที่ศาลปกครอง ผ่านข้อมูลและประสบการณ์ที่ชาวบ้านพบเจอ แต่เขาก็ถามเรา ว่าเราข้อมูลมาจากไหน จบอะไรมา พอเราได้รับการช่วยเหลือจาก ม.อุบล ม.ขอนแก่น ช่วยยืนยันข้อมูล เขาก็ให้คำตัดสินเราว่า กฎหมายของเราไปไม่ถึงเขา เราไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

อำนาจ ตรัยจักร จากจังหวัดนครพนม
เวทีเสวนา ช่วงที่ 2

องค์กรอิสระเสียงดังแต่ไร้อำนาจ: การต่อสู้ที่ยังไม่เห็นผล

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ภาคประชาชน แต่ยังมีองค์กรอิสระ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และภาควิชาการ ที่พยายามเสนอแนวทางต่าง ๆ ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย EIA การกำหนดให้การศึกษาผลกระทบ ข้ามพรมแดนเป็นข้อบังคับ และการรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทั้งหมดนี้กลับเป็นเพียงข้อเสนอที่ไม่มีอำนาจบังคับใช้ เพราะการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจและผู้ได้ประโยชน์จากเขื่อน ทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำบทบาทองค์กรอิสระในการติดตาม ตรวจสอบ และเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการเขื่อนที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน 

กรณี เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเคยมีการฟ้องศาลปกครอง ศาลตัดสินว่ายังไม่มีบทบัญญัติทางกฎหมายไทยที่กำหนดให้ต้องทำ EIA ข้ามพรมแดน ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงเตรียมผลักดันให้มีการ แก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2561 ให้ครอบคลุมโครงการที่อาจกระทบประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องมี กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จุดอ่อน  ที่สำคัญ คือ ด้านการเยียวยา ที่แม้จะมีการตั้งกองทุนชดเชยความเสียหายแต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะชดเชยให้กับประชาชนฝั่งไทยหรือไม่ ข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน คือ ให้ฝ่าย สปป.ลาว ต้องจัดทำการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน โดยสรุปบทเรียนจากโครงการก่อนหน้าและให้ฝ่ายไทยดำเนินการ ศึกษาไปพร้อมกัน พร้อมกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน  อย่างไรก็ดีแม้ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะมีบทบาทเสนอแนะข้อเสนอต่อ หน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่องเพียงใด อุปสรรคสำคัญ คือ การขาดกลไกบังคับใช้จริง 

ทรงศัก สายเชื้อ ยอมรับว่า ข้อเสนอหลายอย่างแม้จะได้รับการตอบรับ ในหลักการ แต่ก็ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้จริง เช่น ในเรื่องของการศึกษา ผลกระทบข้ามพรมแดนหรือกลไกการมีส่วนร่วม เช่น เขื่อนสานะคาม ที่เข้าสู่กระบวนการตั้งแต่ปี 2562 แต่จนถึงปี 2568 ก็ยังไม่เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งที่มีข้อเสนอแนะและ การทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย 

ราเน้นในประเด็นของเขื่อน ปากแบง….เราเสนอว่า เราควรที่จะทำ EIA ระหว่างพรมแดนควบคู่ไปกับ EIA ของฝั่งเจ้าของโครงการด้วย หากมีการยืนยันจะสร้างเขื่อนต่อไป รวมถึงต้องให้ สทนช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นข้อบังคับ…กรณีของการฟ้องร้องศาลปกครอง เราก็จะมีข้อวินิจฉัยออกไปให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2561 ให้ครอบคลุมโครงการที่อาจกระทบต่อประเทศภาคี โดยเฉพาะประเทศไทย

ทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน

ในขณะที่ พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในมุมมองของ กมธ.ฯ ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนไม่อาจจัดการได้ด้วยกรอบกฎหมาย ภายในประเทศด้วยข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการให้ความร่วมมือ ของภาครัฐ ดังนั้นทางหน่วยงานจึงเสนอให้ยกระดับการจัดการเรื่องนี้ ไปสู่ระดับภูมิภาค ผ่านการจัดตั้ง องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน ที่สามารถวางมาตรฐานร่วมกันและบังคับใช้ได้จริง เพื่อให้ประเทศในลุ่มน้ำโขงมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงร่วมกัน แม้ว่าข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ หรือกระทรวงการต่างประเทศ จะยังไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจน หรือบางกรณีก็ปฏิเสธการเปิดเผยเอกสารสำคัญ เช่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า ขณะที่ข้อเสนอของ กมธ.ฯ หลายประเด็นยังไม่ได้รับการตอบรับในทางปฏิบัติ 

ราได้ส่งหนังสือให้กับทางฝ่ายผลิต เพราะต้องการให้เขาส่งข้อมูลรายงานการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนให้กับเรา…แต่เขาก็ได้ตอบกลับมาว่า ยังทำไม่เสร็จ รวมถึงตัวสัญญาที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และเมื่อเรามีการส่งหนังสือไปยังการไฟฟ้าอีก เราก็ได้รับคำตอบว่า ยังดำเนินการไม่เสร็จ ส่วนหน่วยงานอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีการติบกลับ ทั้งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

พิมพ์ดาว จันทร์ขณัษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ก็ได้แสดงบทบาทในการติดตามผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากโครงการพลังงานข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกรณีของเขื่อนปากแบง กสม.ได้ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอให้ทบทวนแผนการซื้อ ไฟฟ้า ตรวจสอบแผนสำรองไฟฟ้าของประเทศและกำกับดูแล ให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและเอกชนไทยดำเนินธุรกิจโดยเคารพสิทธิ มนุษยชน

เราได้รับคำตอบ(หลังจากการส่งหนังสื่อไป) ว่ามีการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ผลลัพท์ที่ออกมาก็ไม่ได้เห็นผลที่ชัดเจน เราจึงได้มีการตรวจสอบ และให้ทางบริษัทเจ้าของโครงการส่งหนังสือที่ประเมินผลกระทบมาตรวจสอบ

พิมพ์ดาว จันทร์ขณัษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่สะท้อนความก้าวหน้าอย่างแท้จริง กสม.จึงยังต้องเดินหน้าตรวจสอบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขอข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทผู้พัฒนาโครงการ และให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณารายงานผลกระทบข้ามพรมแดนในมุมสิทธิมนุษยชน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการให้ข้อเสนอแนะต่อไปเช่นกัน ทางกสม. จะแน่นย้ำในหลักการ UNCT ที่เป็นหลักการของสหประชาชาติ ในการประกอบธุรกิจที่จำเป็นจะต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและดำเนินกิจการด้วยการไม่ริดรอนสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น ทั้งในรูปแบบของการกำหนดกลไกการีบเรื่องร้องเรียนที่ชัดเชน และกระบวนการเยียวยา ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้รีบการเยียวยาอย่างแท้จริง

ขอบคุณภาพแผนที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลักโดย International River

EIA ที่ไร้เสียงชุมชน: เครื่องมือปกป้องสิ่งแวดล้อม หรือเครื่องมือผ่านทางของนายทุนใหญ่?

ปัญหาของกระบวนการ EIA หรือ Environmental Impact Assessment หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาอ้างอิงเสมอ คือ รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม กระบวนการจัดทำของ EIA ถูกระบุว่าเป็น  ข้อบังคับ ตามกฎหมายไทยในการประเมิน ผลกระทบก่อนการอนุมัติโครงการ แต่ในความเป็นจริง รายงานเหล่านี้มักกลายเป็น เอกสารผ่านทาง เพื่อนำไปสู่การพิจารณาอนุมัติก่อสร้างโครงการ โดยไม่ผ่านความคิดเห็นของประชาชน 

ศ. ดร.ทวนทอง จุฑาเกตุ สาขานิเวศวิทยาสังคม ม.อุบลราชธานี กล่าวว่า ในปัจจุบันรายงานนำเสอ EIA ตอนนี้มักจะเหลือเพียงการนำเสนอในมิติ Environmental หรือ สภาพแวดล้อมโดยรวมที่บริษัทเจ้าของโครงการและบริษัทผู้ผลิตใช้ รายงานผลโดยไม่ผ่านเสียงหรือคำคิดเห็นของคนในพื้นที่และไม่ผ่าน กระบวนการมีส่วนรวม 

ด้าน ศ.ดร.กนกวรรณ์ มะโนรมย์ นักวิชาการด้านสังคมสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีซึ่งเฝ้าติดตามผลกระทบจากเขื่อนใน ลุ่มน้ำโขงมายาวนาน ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า กระบวนการ EIA ในประเทศไทยนั่นล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่ทั้งในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น การเก็บข้อมูลในพื้นที่และวิธีการประเมินที่แยกขาดจาก ชีวิตจริงของผู้คนเพราะในรายงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับตัวเลข และวัตถุที่จับต้องได้มากกว่า เช่น การระบุจำนวนต้นไม้ใหญ่ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่กลับมองข้ามพืชผักท้องถิ่นที่เติบโตตาม ฤดูกาล ทั้งยังส่งผลสำคัญต่อทั้งระบบนิเวศและความมั่นคงทาง อาหารของชุมชน เช่น ผักริมตลิ่งที่เป็นอาหารของคน และที่อยู่อาศัยของปลา ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น คือ EIA ในหลายโครงการ มักจะถูกแยกประเมินเป็นรายเขื่อนทั้งที่ลุ่มน้ำโขงเป็นระบบเชื่อมโยง ที่ซับซ้อน เมื่อมีเขื่อนหนึ่งถูกสร้าง ย่อมส่งผลถึงอีกหลายเขื่อน ทั้งที่มีอยู่แล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหากไม่ประเมินผลกระทบ ข้ามพรมแดนแบบสะสม ดังนั้น สิ่งที่ EIA ควรที่จะต้องทำ คือ การทำให้ตอบโจทย์การคุ้มครองชีวิตคนจริง ๆ ต้องขยายการประเมินให้ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต กับภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม และที่สำคัญ ต้อง ลงทุน กับการศึกษานี้ให้สมเหตุสมผลด้วย 

รัฐบาลจึงไม่ควรแก้ไขแค่ในระดับโครงการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างในระดับนโยบาย  โดยการยกระดับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปสู่การประเมินผลกระทบแบบสะสมข้ามพรมแดน  โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงซึ่งเป็นระบบนิเวศร่วมของหลายประเทศ ต้องจัดตั้งกลไกกลางระดับภูมิภาค เช่น องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน ที่สามารถกำกับ ติดตาม และสร้างมาตรฐานร่วมกันด้านสิ่งแวดล้อม ได้อย่างจริงจัง และมีอำนาจในการตรวจสอบข้ามประเทศ แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้ประชาชนในพื้นที่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล รับฟังความคิดเห็น และใช้กลไกทางกฎหมายในการคัดค้านโครงการที่กระทบต่อวิถีชีวิตได้จริง รวมถึงเปิดเผยข้อมูลด้านพลังงานและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อน โดยเฉพาะในส่วนที่ใช้งบประมาณจาก ภาครัฐหรือมีผลต่อภาระของประชาชน

ทิศทางการพัฒนาที่กำลังดำเนินอยู่บนลุ่มน้ำโขง แท้จริงแล้วควรเดิน ไปในทิศทางไหนกันแน่?  เพราะสิ่งที่เห็นในวันนี้ คือ การพัฒนาที่อ้าง ความก้าวหน้าเป็นหลักแต่กลับเดินหน้าไปโดยไม่เคยเหลียวกลับมาฟัง เสียงของผู้คนที่ผูกพันกับแม่น้ำโขงมาตลอดชีวิต ระบบนิเวศ ที่เคยเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ กำลังถูกตัดแบ่งเป็นส่วน ๆ ด้วยกรอบกฎหมาย การประเมินผล และวิธีคิดที่แยกธรรมชาติออกจากผู้คนอย่างสิ้นเชิง ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปแม่น้ำโขง และลุ่มน้ำโขง ก็คงไม่เหลือพื้นที่ให้กับการดำรงอยู่ของวิถีชีวิตดั้งเดิม หรือแม้แต่ระบบนิเวศที่สมดุล เพราะถ้าหากผู้มีอำนาจยังคงเลือก ที่จะมองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น แทนที่จะรับฟังปัญหาจากพื้นที่ หรือมองเห็นความเปราะบางของธรรมชาติ 

รับชมไลฟ์สดได้ทั้ง 2 ช่วง ที่นี่ ช่วงที่ 1 , ช่วงที่ 2