จบไปแล้วสำหรับการแข่งขัน Dance troupe เริงระบำอีสานร่วมสมัยผ่านแนวคิดการเฉลิมฉลองกลุ่มชาติพันธุ์อีสาน โดย ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีแม้การแสดงจะจบลงไปแล้ว แต่ผู้เขียนยังคงจดจำบรรยากาศภายในงานได้เป็นอย่างดี แสงไฟบนเวทีที่ค่อย ๆ สาดกระทบลงผ่านเหล่านักแสดงประกอบกับเสียงเพลงที่ผสานเข้ากับบีตดนตรีร่วมสมัยที่ถูกแต่งแต้มผสมผสานเข้ากันอย่างไร้ที่ติ ทำให้ทุกเสียง ทุกจังหวะ กลายเป็นงานศิลปะที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นอีสานเอาไว้อย่างน่าทึ่ง ทุกทำนอง ท่วงท่า ลีลา เกิดจากแนวคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ นักศึกษา จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่พยายามฉายภาพความเป็นอีสานร่วมสมัยผ่านศิลปะการแสดงเริงระบำ ประยุกต์ ดัดแปลง และแต้มแต่งเกิดเป็นการเล่าเรื่องราวแบบใหม่ ๆ ให้โลกได้รับรู้ถึงรากเหง้า วัฒนธรรม ความเชื่อ แห่งชาวอีสานในอีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ ภายใต้ความร่วมสมัย เปรียบเสมือนสนามทดลองความคิดที่ผสมผสานความท้าทายทางสุนทรียะ ที่มาจากนักศึกษาหลากหลายพื้นที่ให้ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพราะไม่เพียงแต่ต้องจำกัดความเกี่ยวกับความเชื่อหรือเรื่องเล่าพื้นบ้านให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันแต่ยังต้องนำศิลปะพื้นบ้านมาผสานเข้ากับรูปแบบการเต้นรำระบำแบบชาวตะวันตกให้มีความกลมกลืน โดยไม่ทำให้จิตวิญญาณและอัตลักษณ์ของความเป็นรากเหง้าวัฒนธรรมความเชื่ออีสานสูญหายไป นี่จึงนับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ความเป็นอีสานทั้งในแง่ของ วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือแม้แต่วิถีชีวิตนั้นยังคงสามารถต่อยอดและเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ที่พร้อมจะกล้าคิด กล้าทำ กล้าสรรค์สร้าง ที่จะนำพาคำว่า วัฒนธรรมอีสานมาปรับเปลี่ยนให้พร้อมก้าวต่อไปสู่อนาคตในแบบของตัวเอง
การเฉลิมฉลองและการตีความใหม่ของ ผีตาโขน รากเหง้าความเชื่อแห่งชาวด่านซ้าย จ.เลย
โจทย์หลักของโครงการในปีนี้ คือ การเฉลิมฉลองของกลุ่มชาติพันธุ์ที่พึ่งได้รับ พรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่าน นับว่าเป็นธีมงานที่ช่วยส่งเสริมในคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจความเป็นชาติพันธุ์อันมีความเชื่อที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบใหม่ได้เป็นอย่างดี
ซาชิ กฤษณพงษศ์ ทองโคตร นักศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้รังสรรค์ผลงานการแสดงชุด เริงระบำอีสานร่วมสมัย ผีตามคน ที่หยิบยกเอารากเหง้าและวัฒนธรรม ความเชื่อของชาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย อย่าง ผีตาโขน การละเล่นที่เป็นส่วนหนึ่งในขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง ในประเพณีบุญหลวง ประเพณีที่รวมเอาบุญผะเหวด บุญบั้งไฟ เข้ามารวมไว้ในครั้งเดียวกัน จนเกิดเป็นงานใหญ่เรียกงานบุญหลวง หนึ่งในขบวนแห่จะมีความเชื่อเรื่องผีตาโขน ที่มักอยู่รั้งท้ายขบวนแห่เพื่อตามส่งพระเวสสันดรกลับเมือง ทั้งสีสัน ความรื่นเริงและความสนุก ส่งผลให้เกิดเป็นประเพณีการละเล่นที่สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จากตำนานของผีตาโขน มีการคาดการว่า เป็นความคลาดเคลื่อนจากการออกเสียง จากคำว่า ผีตามคน

ผีตาโขน ความหมายใหม่ในมุมมองศิลปะร่วมสมัย
กฤษณพงษศ์ ทองโคตร เล่าว่า การแสดงเริงระบำครั้งนี้ ได้นำเอาศิลปะและความเชื่อพื้นบ้าน จากงานประเพณีบุญหลวง คือ ผีตาโขน มาตีความใหม่ผ่านมุมมองร่วมสมัยโดยเสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้ว ผีตาโขน อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แต่เดิมในธรรมชาติ หากแต่เป็นผลผลิตของมนุษย์เอง ซึ่งแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า มนุษย์ คือ ผู้รังสรรค์ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจน ผี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลลัพธ์ทางจินตนาการของความเชื่อ ความศรัทธา ที่สั่งสมกันมาในสังคม ซึ่งการที่ผีจะมีรูปร่างหน้าตาหรือพฤติกรรมอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับการรับรู้และการสร้างความหมายของผู้คนในแต่ละยุคสมัย เช่นเดียวกับวัฒนธรรมความเชื่อในพื้นที่อื่นๆ ที่ต่างก็ต้องเผชิญกับ การเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมในแต่ละยุคสมัย ตามเงื่อนไขของเวลาผู้คนและพื้นที่
ภายใต้แนวคิดนี้ การแสดงจึงถูกออกแบบเป็นลำดับเล่าเรื่องการกำเนิดของผีตาโขน โดยเริ่มต้นจาก ความว่างเปล่าก่อนที่มนุษย์จะค่อย ๆ ก่อร่างสร้างจินตนาการของผีขึ้นมาผ่านความกลัว ความเชื่อ พิธีกรรม และศิลปะพื้นบ้าน จนท้ายที่สุดผีตาโขนก็ถือกำเนิดขึ้นในฐานะสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติและในฐานะภาพสะท้อนของความเชื่อและจิตวิญญาณของผู้คนในชุมชน โดยมีการออกแบบและตีความออกเป็นลักษณะฉาก ๆ
องก์แรก จะเป็นการนำเสนอภาพของมนุษย์ในฐานะผู้สร้างโดยเริ่มจากฉากที่นักแสดงในบทของมนุษย์ ร่วมกันสร้างตัวผีขึ้นมาผ่านการเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อยของกลุ่ม จิตรกร ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ ด้วย สี เส้น และท่วงท่า ท่วงทำนองแทนคำพูด แต่ละการเคลื่อนไหวเสมือนการวาดภาพที่มีชีวิต ผสมผสานทั้งศิลปะ ทัศนศิลป์และการเต้นร่วมสมัยเข้าด้วยกันถ่ายทอดความหมายของการสร้างจากศูนย์ทั้งในทางกายภาพและจินตนาการ
องก์ที่สอง คือ ช่วงที่ตัว ผี ซึ่งถูกสร้างขึ้นและเริ่มได้รับชีวิตจากมนุษย์ จึงทำให้เราได้ภาพของผีที่เริ่มเคลื่อนไหว หลอมรวมเข้ากับผู้คนและแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตภายใต้ภาพของ ผีตาโขน จากจินตนาการ สู่สิ่งมีชีวิตเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนทั้งความเชื่อและบทบาทของมนุษย์ในฐานะผู้กำหนดความหมายของสิ่งเหล่านั้น ในบริบทของงานแสดงนี้ ผีตาโขน จึงกลายเป็นเหมือนสิ่งลึกลับที่ถือกำเนิดควบคู่ไปกับการเกิดความเชื่อ ความศรัทธาและวัฒนธรรม จนถูกนำไปพัฒนากลายเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ศิลปะร่วมสมัย การต่อยอด พัฒนาที่รักษารากเหง้าให้เกิดความยั่งยืน
ซาชิ กล่าวอย่างมั่นใจว่าการนำศิลปะพื้นบ้านมาประยุกต์ให้อยู่ในบริบทร่วมสมัยไม่ใช่เพียงการแสดงในเชิงความคิดสร้างสรรค์เท่านั้นแต่ยังเป็น กลไกสำคัญในการทำให้วัฒนธรรมสามารถดำรงอยู่ได้ในโลกยุคใหม่ โดย เฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียและโลกดิจิทัลกลายมาเป็นพื้นที่หลักของการสื่อสารและการรับรู้ของผู้คน การสร้างสรรค์ศิลปะพื้นบ้านให้เข้ากับความร่วมสมัยนั้นเปรียบเสมือนการเปลี่ยนรูปร่างของวัฒนธรรมให้มีชีวิตที่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ เหมือนเป็นการพูดภาษาใหม่ ที่ใช้เพื่อสื่อสารเรื่องราวเดิมกับคนรุ่นต่อไปในอนาคต เสมือนเป็นเทรนด์หรือกระแส ที่เกิดขึ้นและหมุนเวียนอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ วัฒนธรรมที่ถูกนำเสนอผ่านเทรนด์นี้มีเป้าหมายคือการทำให้ผู้คนหันกลับมาสนใจ เข้าใจและรู้สึกเชื่อมโยงกับรากเหง้าของตนเองอีกครั้ง สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่ว่าจะต้องรักษาวัฒนธรรมไว้ในรูปแบบเดิมเสมอไปแต่อยู่ที่ว่าเราจะสื่อสารมันออกมา ในรูปแบบไหนและเผยแพร่ผ่านช่องทางใดให้เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
ในการศึกษาว่าด้วย ผีตาโขน ทีมผู้สร้างสรรค์ผลงานเริงระบำร่วมสมัย ผีตามคน ไม่ได้มองเพียงแค่มิติในเรื่องของพิธีกรรมหรือหน้ากากในงานเทศกาลประจำปีเท่านั้น แต่พวกเขายังสัมผัสได้ถึงสุนทรียะของความเชื่อ ซึ่งฝังรากอยู่ในประวัติศาสตร์และความกลัวของมนุษย์ในสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เมื่อผสานเข้ากับศรัทธาที่ผู้คนในอดีตยึดถือจึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการตีความใหม่ที่ไม่เพียงเล่าเรื่องราวในรูปแบบเดิม ๆ แต่ต้องเชื่อมโยงกับสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันด้วย หนึ่งในจุดเด่นของงานนี้ คือ การสร้างสรรค์ดนตรีขึ้นใหม่ทั้งหมด ดนตรีแต่ละช่วงของการแสดงถูกออกแบบขึ้นตามโครงสร้างของ เรื่องราวในแต่ละองค์ภายใต้คอนเซปต์ คนสร้างผี
ช่วงแรก ใช้เสียงจังหวะช้า ๆ เนิบ ๆ เพื่อแทนวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของผู้คนและสื่อถึงช่วงเริ่มต้นของการสร้างผี ซึ่งยังเป็นเพียงจินตนาการที่ค่อย ๆ ก่อร่างขึ้นเท่านั้น ก่อนจะส่งต่อไปยัง ช่วงกลาง ที่จังหวะค่อย ๆ เร่งขึ้น เพื่อสะท้อนการที่ผีเริ่มได้รับชีวิตและมีบทบาทในโลกของมนุษย์เป็นจุดเปลี่ยนที่ความกลัวและความศรัทธาเริ่มแทรกซึมเข้ามาในวิถีของชุมชน ปิดจบด้วยช่วงสุดท้าย ที่มีเสียงโห่ร้องอย่างครึกครื้น จังหวะสนุกสนาน เปรียบเสมือนการมีชีวิตชีวาของผู้คนและผี ในการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ในรูปแบบของพิธีกรรม วัฒนธรรมรวมไปถึงการเฉลิมฉลองต่าง ๆ

รากวัฒนธรรมอีสาน กับการสร้างสรรค์ผลงานด้วยมุมมองจากคนรุ่นใหม่
อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจคือบทบาทของศิลปวัฒนธรรมในฐานะสมุดบันทึกชีวิตของชุมชน ที่จะเก็บเรื่องราว ในอดีตและจารึกพัฒนาการของผู้คน ตั้งแต่รากของประวัติศาสตร์ ความเชื่อ วิถีชีวิต ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลง ในแต่ละยุคสมัยแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นต่อไปได้เข้ามาเขียนบทบาทของวัฒนธรรมแบบ ใหม่ด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นแนวคิดนี้ยังช่วยขยายความถึงแนวคิดความเป็น พลวัตของวัฒนธรรมอีสาน ในบริบทของโลกปัจจุบันที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เช่น หมอลำ ที่จะเด่นชัดที่สุดในภาพของกระบวนการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและความยั่งยืนของวัฒนธรรม จากเดิมที่หมอลำมีบทบาทเป็นเพียงสื่อพื้นบ้านที่ใช้ในการส่งต่อข่าวสาร ถ่ายทอดเรื่องเล่าและสะท้อนชีวิตของชุมชนท้องถิ่น หมอลำได้วิวัฒนาการกลายมาเป็นความบันเทิงร่วมสมัยที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์รสนิยมของผู้ฟังในยุคใหม่ ผ่านรูปแบบที่สนุกสนาน เช่น ลำเพลิน ลำซิ่ง หรือ คอนเสิร์ตหมอลำ ที่มีการออกแบบแสง สี เสียง ฉากและจังหวะให้เร้าใจมากยิ่งขึ้นและที่น่าทึ่ง คือ ในยุคดิจิทัลหมอลำได้ก้าวข้ามข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์อย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคอนเทนต์ที่ถูกผลิต เผยแพร่และบริโภคในวงกว้าง ทั้งในแพลตฟอร์มออนไลน์และเวทีนานาชาติ มีผู้ติดตามจากทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชมต่างชาติและคนอีสานโพ้นทะเล ที่ ต้องการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของตน
มิติของการคงอยู่ของวัฒนธรรมอีสานผ่านสายตาคนรุ่นใหม่นั้น ด้วยลักาณะนิสัยของคนอีสาน เมื่อออกไปใช้ชีวิตในต่างถิ่น ไม่ว่าจะเพื่อทำงาน เรียนหนังสือหรือสร้างครอบครัว พวกเขามักนำเอา ภาษา อาหาร วิถีชีวิตและศิลปะ ไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ด้วย สิ่งนี้เป็นเหมือนกับการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในภูมิภาคอีสานแต่แผ่ขยายออกไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วม ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมอีสานสูญเสียอัตลักษณ์ กลับกันมันยิ่งทำให้วัฒนธรรมแข็งแกร่ง เกิดความหลากหลายและมีชีวิตมากขึ้น เพราะผ่านการปรับเปลี่ยน เรียนรู้ ตามวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่มันเข้าไปสัมผัส
การสืบทอดวัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งยิ่งใหญ่หรือเป็นทางการเสมอไปบางครั้งจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด อาจเป็นเพียงกิจกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น วัฒนธรรมการกินข้าวร่วมกันสำหรับคนอีสาน การนั่งล้อมวงกินข้าวบนสำรับเดียวกัน คือ พิธีกรรมทางสังคมที่สะท้อนสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของครอบครัวและชุมชน เป็นพื้นที่ของการพูดคุยเล่าขานเรื่องราว ส่งต่อประสบการณ์ และปลูกฝังคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่ยังคงมองเห็นและให้คุณค่า กับการกระทำเล็กน้อยเหล่านี้ ก็ถือเป็นการรักษาวัฒนธรรมไว้ในรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้วัฒนธรรมดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน
การตีความ ผีตาโขนใหม่ ในคอนเซปต์ ผีตามคน ที่ปรากฏในผลงานชิ้นนี้จึงเป็นเหมือนการพลิกบทบาท ครั้งสำคัญของศิลปะพื้นบ้าน ให้กลายเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ ที่มีทั้งเครื่องมือและจินตนาการ ในการนำเอาแก่นแท้ของวัฒนธรรม มาตีความ ปรับใช้และสร้างสรรค์ให้เชื่อมโยงกับบริบทของยุคสมัยนั้น ๆ อย่างไรก็ดีตราบใดที่คนรุ่นใหม่ยังคงมองย้อนกลับไปเพื่อเรียนรู้จากรากเหง้าของตัวเอง วัฒนธรรมอีสานก็น่าจะยังคงเติบโตและมีชีวิตอย่างยั่งยืนไม่มีวันสิ้นสุด ผ่านการปรับเปลี่ยนและต่อยอดในรูปแบบใหม่ ๆ ต่อไปในอนาคต

เรื่อง สกุลรัตน์ สองจันทร์ Content Writer



