เรื่อง ชนัญชิดา ตามวิสัย
ภาพประกอบ อยู่ดีมีแฮง
ภายหลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ สอดรับกับการตกลงมาอย่างหนักของฝนที่ตกกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ซึ่งทางภาคเหนือเองก็มีรายงานฝนตกหนัก มวลน้ำไหลหลากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เชิงเขา น้ำตก และแนวแม่น้ำลำคลองที่รับน้ำจากที่สูง ขณะที่ภาคอีสานบ้านเราเองก็มีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาสะสมในหลายพื้นที่ และมีรายงานการเกิดเหตุอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก บ้างแล้ว แต่การเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัตินั้นจำเป็นต้องมีและสามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำถามคือ ตอนนี้ในภาคอีสานบ้านเรามีแผนรับมือ หรือพื้นที่ไหนที่มีการเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์เหล่านี้แล้วบ้าง

ฝนหนัก 2 วันทำน้ำท่วมภาคอีสาน ภูผาม่าน ภูกระดึง ระลอกแรก
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันถึงเหตุการณ์มวลน้ำที่เกิดจากปริมาณฝนตกสะสมเพียง 2 วัน บนแนวเทือกเขา อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำเซิญ และลำห้วยสาขาได้ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรเป็นบริเวณกว้าง ถนนบางสายถูกตัดขาด หรือ รถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ นี่เป็นเพียงระลอกแรกเท่านั้น หากเกิดฝนตกสะสมมากขึ้น อาจจะขยายวงกว้างออกไปอีก ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่ อ.ภูผาม่าน ยังไม่ได้รับผลกระทบมากเหมือนปีที่ผ่านมาซึ่งเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงมือทำการปลูกข้าว แต่สิ่งที่น่ากังวลและต้องจับตามองคือ นี่เป็นเพียงการมาของมวลน้ำระลอกแรก เท่านั้น และนี่พึ่งจะเข้าสู่ฤดูที่มีฝนตกลงมายังไม่มานัก น่าเป็นห่วงวันข้างหน้าอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และการแจ้งเตือนนั้นยังคงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ จุดเสี่ยงต่าง ๆ ยังคงต้องพึ่งพาโชคชะตา www.facebook.com/100063960676806/posts/1149350447206967
ขณะที่ช่วงวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2568 มีรายงานปริมาณน้ำในแม่น้ำพอง หรือ ห้วยพองหนีบ ได้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือน พร้อม ๆ กับเกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากจากแนวเทือกเขาอุทยานแห่งชาติภูกระดึง และผานกเค้า ในเขตอำเภอภูกระดึง จ.เลย ได้ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านมากถึง 3 ตำบล และมีบ้านเรือนได้รับผลกระทบมากกว่า 150 หลังคาเรือน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นการไหลบ่าของปริมาณน้ำฝนที่ตกมากบนแนวเทือกเขา แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ชาวบ้านต้องเฝ้าระวังและคอยดูปริมาณฝนที่ตกลงมาบนแนวเทือกเขา และคาดการณ์เอาว่าน้ำจะไหลบ่ามากน้อยเพียงไร ยังขาดเครื่องมือ หรือ การแจ้งเตือนภัยที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และฟังก์ชั่นกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน www.facebook.com/photo/?fbid=1107541148074357

มองอีสานย้อนหลัง 10 ปี อุทกภัย น้ำป่า ดินโคลนถล่ม เกิดถี่ รุนแรงและขยายวงกว้าง
หากมองย้อนกลับไปช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราจะพบว่าพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจุดเสี่ยงลาดลุ่มเชิงเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ จุดที่เคยเกิดน้ำท่วม ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ประจำแถมมีความรุนแรงมากขึ้น ลุ่มน้ำโขง ชี มูล ปัญหาเรื่องน้ำท่วม น้ำท่า มาหลากมาแรง ยังคงเป็นปัญหา ชาวบ้านก็ยังคงไม่ได้รับการเตือนภัยอย่างทันท่วงที นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ หรือปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่นี่คือปัญหาที่จะต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ สร้างระบบเตือนภัย และนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ ดึงชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมไม่ใช่แค่ให้ร่วมแต่ต้องให้ชาวบ้านเป็นคณะทำงานหลัก เพราะพวกเขาคือคนในพื้นที่ เผชิญเหตุจริง สูญเสียจริง
รศ. ดร.ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า น้ำท่วมได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนจนและกลุ่มคนเปราะบาง ในด้านต่าง ๆ ผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย บางรายเสียหายหนักจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ในช่วง 4 – 5 ปี ยกตัวอย่างในจังหวัดขอนแก่น ที่เจอน้ำท่วมถึงชั้นสองก็มี ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในด้านรายได้และประกอบอาชีพ พื้นที่ทำการเกษตรเสียหาย สูญเสียรายได้ ด้านสุขภาพทางกายโดยเฉพาะโรคที่มากับน้ำ เช่น โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร สุขภาพทางใจในภาวะน้ำท่วมผู้คนไม่สามารถออกไปไหนได้ส่งผลให้เกิดความเครียด วิตกกังวลและการบริการสาธารณะสุขค่อนข้างลำบากเนื่องจากเส้นทางถูกตัดขาด การศึกษาโรงเรียน หลายแห่งปิดชั่วคราวและเด็กจากครอบครัวยากจนหลุดออกจากระบบการศึกษาหรือเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีใน การเรียนออนไลน์ ในด้านสังคมความสัมพันธ์ในชุมชนอาจตึงเครียดเนื่องจากการแย่งกันใช้ทรัพยากร ซึ่งภัยพิบัติหรืออุทกภัยที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถแบ่งผู้ประสบภัยได้ แต่คนจนเมืองบางทีต้องอยู่บนหลังคา คนที่มีทุนทรัพย์เขาไม่กังวล ถ้าบ้านหลังนี้น้ำท่วมเขาก็ไปอยู่อีกหลังหรือเช่าโรงแรมอยู่ได้ เราจะสามารถมองเห็นความเหลือมล้ำได้ในเหตุการณ์ภัยพิบัติแบบนี้
ฤดูฝน 2568 สำรวจจุดเสี่ยง แผนรับมือ อีสานพร้อมไหม?
ในปีนี้ตามรายงานของ กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่หน้าฝนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศร้อนในช่วงครึ่งเดือนแรก ส่วนครึ่งเดือนหลังจะมีฝนตกมากขึ้นในบางพื้นที่ พร้อมออกประกาศแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดของภาคอีสาน คำถามที่น่าสนใจ คือ แล้วจะรับมืออย่างไร แผนเผชิญเหตุมีไหม หรือ เครื่องมืออะไรที่ประชาชนสามารถนำมาใช้เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
รศ. ดร.ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงปี 2567-2568 มีแนวโน้มน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำฝนที่ตกมากขึ้นกว่าปกติจากภาวะลานีญา ระดับน้ำในแม่น้ำโขง ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากฝนตกหนักและการระบายน้ำจากประเทศต้นน้ำ ภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ ที่ดินที่เปลี่ยนแปลง ขวางทางการไหลหรือระบายของน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งภาคอีสานมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีการทำเกษตรกรรมและการตั้งถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหมู่บ้านจัดสรร การทำถนน ที่ไปขวางทาง ไหลของน้ำทำให้เกิดภาวะน้ำรอระบาย ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลและเก็บรวบรวมพบว่า ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อวัดปริมาณของน้ำฝนที่ตกลงมาและวัดระดับของปริมาณน้ำกักเก็บในแม่น้ำ หรือแหล่งน้ำในบางพื้นที่โดยมีการสร้างระบบให้แจ้งเตือนผ่าน SMS นั้น ยังมีข้อจำกัดเรื่องของสัญญาณในบางพื้นที่ การแจ้งเตือนจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไข ขณะที่การระบายน้ำออกจากเขื่อนใหญ่ ๆ หลัก ๆ ในภาคอีสาน ทั้งเขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลำปาว เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข หรือต้องสร้างให้เกิดความพร้อม คือ แผนการรับมือหรือเผชิญภัยพิบัติระดับพื้นที่ ซึ่งแผนการรับมือในระดับจังหวัด ระดับตำบล แต่ละหน่วยงานแต่ละ อปท.มีแผนจัดการภัยพิบัติ และมีอาสาสมัครภาคประชาชนที่กำหนดบทบาทคอยช่วยเหลืออยู่แล้วแต่ยังมีข้อจำกัดในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน งบประมาณที่มีความล่าช้า และความพร้อมของเจ้าหน้าที่ยังมีน้อย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมให้พร้อม ถึงแม้จะเกิดหรือไม่ก็ตาม

ระบบเตือนภัยที่เข้าถึงง่ายและมีข้อมูลแบบเรียลไทม์อีกปัจจัยที่เตรียมพร้อมได้
รศ. ดร.ธนพฤกษ์ ได้เสนอให้มีการปรับปรุงและเพิ่มเติม ในการเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติ และจุดเสี่ยงที่จะเกิดให้มีการใช้เทคโนโลยีที่สามารถรับรู้ข้อมูลปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์และใช้ AI เข้ามาช่วยทำให้ประชาชนมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ทัน ทั้งเสนอให้มีการปรับระบบเตือนภัยให้แม่นยำและเข้าถึงง่าย ใช้การวิเคราะห์จาก AI แบบเรียลไทม์ และใช้แพลตฟอร์มในการแจ้งเตือนประชาชน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยังยืน การขุดคลองที่สามารถรองรับน้ำได้ และออกแบบผังเมืองให้มีพื้นที่รองรับน้ำ วางแผนใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับภัยพิบัติ ส่งเสริมการเกษตรแบบฟื้นตัวเร็ว และสนับสนุนให้ชาวบ้านปรับปรุงบ้านให้อยู่ได้แม้น้ำท่วม สร้างความรู้และความร่วมมือจากชุมชน ฝึกซ้อมแผนอพยพให้แก่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยง ส่งเสริมธนาคารน้ำใต้ดิน องค์ความรู้ท้องถิ่นในการจัดการน้ำ และสนับสนุนชุมชนให้ร่วมวางแผนจัดการภับพิบัติกับหน่วยงานรัฐ เพิ่มงบประมาณและจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายงบประมาณจากส่วนกลางสู่ตำบล สนับสนุนงานวิจัยท้องถิ่นในการประเมินความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่
เปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ วางแผนอย่างเต็มที่ ภาครัฐมีส่วนช่วยเหลือตามนโยบายต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่ยังขาดในส่วนที่เป็นของภาคประชาชน คนในพื้นที่และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เขารู้จักบ้านของเขาดีว่าเขาต้องการอะไร มีปัญหาในจุดไหนหรือต้องการแก้ปัญหาตรงจุดไหน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การให้เปิดโอกาสให้ ประชาชนมามีส่วนร่วมในการออกแบบการป้องกันน้ำ เขาอาจจะมีวิธีที่เป็นภูมิปัญญาและมีความเข้าใจ ในตัวพื้นที่ของเขา ให้เขาได้ลองเอามาใช้ เพียงแต่ตอนนี้ยังรอการสนับสนุนอยู่


