Rice of Thailand & Paddy Thai

นาออนไลน์ ขายข้าวบนแพลตฟอร์ม ทางรอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและตลาดข้าวไทย

เรื่องโดย สกุลรัตน์ สองจันทร์ Content Writer soundisan

ต้อนรับฤดูฝนอย่างเป็นทางการ พี่น้องอีสานบ้านเราในหลายพื้นที่เริ่มลงมือตระเตรียมพื้นที่ ไถฮุดนา เพื่อเตรียมดินสำหรับรอการหว่านกล้าข้าว เพื่อให้สอดคล้องกับการตกลงมาของสายฝนที่เริ่มถี่และตกยาวนานมากขึ้น นอกจากปริมาณน้ำที่มีให้ชาวนาได้ทำนา แต่อีกด้านคือการเกิดขึ้นของภัยพิบัติน้ำท่วม น้ำหลาก ดินโคลนถล่ม และอาจจะมีสถานการณ์เรื่องของฝนทิ้งช่วง ซึ่งไม่สามารถที่จะไปจัดการบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ สิ่งเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ทั้งยังสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตร ที่บางครั้งก็อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง พืชหลายชนิดให้ผลผลิตที่มีรูปร่างไม่เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะขาดน้ำ หรือเจอกับอากาศที่แปรปรวนจนไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ ส่วนสัตว์บางชนิดที่แม้จะทนต่อสภาพอากาศก็ล้มตาย เพราะไม่สามารถปรับตัวกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ นักวิชาการที่ทำการศึกษาผลกระทบด้านการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ได้ออกมาเตือนถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่ยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ข้าวกำลังออกดอก จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงของข้าวจนไม่สามารถออกรวงได้ ส่งผลทำให้ปริมาณข้าวลดลงในที่สุด เรื่องนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขในรายงานเท่านั้น แต่คือข้าวในหม้อและอาหารในจาน รวมถึงเป็นความมั่นคงทางอาหารของทุกคนในครอบครัวอีกด้วย

ผู้เขียนได้ฟังการสนทนาจากรายการ อีสานขานข่าว ซึ่งเป็นความร่วมมือของเครือข่ายสื่อสาธารณะ ที่หยิบยกเอาประเด็นเรื่องนี้มาพูดคุยได้อย่างน่าสนใจ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกับพี่น้องอีสานบ้านเฮาโดยตรงโดยเฉพาะเรื่องของความมั่นคงด้านเมล็ดพันธุ์ ดำเนินรายการโดย สันติ ศรีมันตะ บรรณาธิการบริหารจากเพจ ซาวอีสาน ร่วมแลกเปลี่ยนสนทนากับคุณ อุบล อยู่หว้า จากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน ในการสนทนาบางตอนได้ชี้ให้เห็นว่า ปีนี้เป็นอีกปีที่ฤดูกาลเพาะปลูกเริ่มต้นด้วยความไม่แน่นอนอย่างยิ่ง บางพื้นที่เจอกับฝนตกหนักเกินควบคุม ขณะที่บางแห่งกลับแล้งจัดจนแตกระแหง ปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงยาวนานเกิน 10 วัน หรือฝนหลงฤดูที่มาอย่างกะทันหัน ล้วนส่งผลต่อความอยู่รอดของต้นข้าวที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่นาโคกและนาลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงทั้งจากภาวะน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำ

อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบด้านต่าง ๆ โดยเริ่มจากปัจจัยด้านการตลาดซึ่งเป็นอีกแรงกดดันที่ส่งผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากความต้องการของตลาดที่มุ่งเน้นเพียงพันธุ์ข้าวไม่กี่ชนิด ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรมีทางเลือกในการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ยากขึ้นไปอีกขั้น เพราะในพื้นที่เกษตรของภาคอีสาน ข้าวหอมมะลิ กลายเป็นภาพแทนของ “ข้าวไทย” ทั้งในสายตาของผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศ ด้วยเมล็ดยาวเรียว กลิ่นหอมเฉพาะตัว และความนิยมในตลาดต่างประเทศ ข้าวพันธุ์นี้จึงได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องหลังความนิยมคือการเริ่มหาย ของพันธุ์ข้าวพื้นบ้านนับร้อยสายพันธุ์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเสาหลักของระบบการเกษตรของชาวอีสาน

อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน ขอบคุณภาพ : อยู่ดีมีแฮง

อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมข้าวที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่เลือกปลูกข้าวหอมมะลิและพันธุ์ข้าวเพื่อตอบโจทย์ของตลาด เช่น ข้าวที่มีเมล็ดเรียวสวย ในขณะที่ข้าวพื้นบ้านที่มีเมล็ดสั้น ป้อม หรือไม่ตรงตามนิยาม “ข้าวคุณภาพ” ถูกมองว่าไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โรงสีข้าวขนาดใหญ่ รถไถ รถเกี่ยว และระบบจำหน่ายแบบรวมศูนย์ ยิ่งผลักดันให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้าง ผลที่ได้คือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะที่ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวกลับลดลงอย่างน่าเป็นห่วง 

นาข้าวภาคอีสานที่พร้อมเก็บเกี่ยว

ข้าวหอมมะลิ ภาพแทนอุตสาหกรรมข้าวไทยที่กำลังถูกท้าทาย

ข้าวหอมมะลิเองก็มีข้อจำกัดที่ไม่ถูกพูดถึงมากนัก ข้าวพันธุ์นี้อ่อนแอต่อโรคเชื้อราอย่าง “โรคใบไหม้” ซึ่งสามารถทำลายผลผลิตได้ตั้งแต่ระยะกล้าไปจนถึงระยะออกดอก เกษตรกรจึงต้องพึ่งพาสารเคมีและยาป้องกันโรคในปริมาณมาก ยิ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกกลับผันผวน นโยบายรัฐในอดีตมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมากด้วยการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ใหม่ ส่งเสริมข้าวหอมมะลิ และใช้กลยุทธ์แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ระหว่างข้าวการค้าและข้าวพื้นบ้าน ทำให้ข้าวพื้นบ้านค่อย ๆ หายไปจากหมู่บ้าน นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยที่เคยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก เมื่อเกิดการขึ้นภาษีนำเข้า ข้าวไทยจึงมีราคาสูงขึ้น สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่ออินเดียและเวียดนามเริ่มกลับมารุกตลาดข้าว หรืออีกด้านหนึ่ง ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรก็รุนแรงขึ้น คนรุ่นใหม่จำนวนมากย้ายไปทำงานในเมือง เกษตรกรที่ยังเหลือจึงต้องพึ่งพาเครื่องจักรกลอย่างหนัก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กำไรกลับลดลงสวนทางกับความพยายาม

ทางเลือกเพื่อฟื้นฟูความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร 

คุณอุบล กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า นโยบายของรัฐในปัจจุบันยังไม่สามารถส่งเสริมศักยภาพหรือเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้อย่างแท้จริง เพราะโดยมากแล้วเป็นเพียงนโยบายระยะสั้นที่ออกมาเป็นรายฤดูหรือรายปี ซึ่งเท่ากับเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายน้ำ มากกว่าการเข้าใจรากฐานของเศรษฐกิจเกษตร เช่นเดียวกับในแวดวงงานวิจัยด้านข้าวของไทย ที่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามแล้ว ยังถือว่าตามไม่ทันต่อปัญหาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เวียดนามสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่แข็งแรงและตอบโจทย์สภาพภูมิอากาศได้ดี ขณะที่ในประเทศไทย งานวิจัยที่ประสบความสำเร็จและสามารถนำไปใช้ได้จริงยังมีไม่มาก งานวิจัยที่จะตอบโจทย์ปัญหาได้จริง ต้องเกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างนักวิจัยกับเกษตรกร โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากพื้นที่จริง เรียนรู้ปัจจัยต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของปัญหาอย่างรอบด้าน และนำไปสู่ “นวัตกรรม” หรือกระบวนการสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับบริบทของเกษตรกร  เช่น การตรวจสอบความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ต่อการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ หรือการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับท้องถิ่น โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุนผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือ เทคนิคการเพาะปลูก และพันธุ์ข้าวที่เกิดจากการวิจัยร่วมกัน มากกว่าการสนับสนุนเพียงแค่เงินทุนหรือการแจกเมล็ดพันธุ์ตามฤดูกาล

เสนอใช้แอปพลิเคชั่นพยากรณ์และงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นบ้านจริงจัง

นอกจากนี้ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ยังได้เสนอมุมมองและแนวทางที่เหมาะสมกับการเกษตรในบ้านเราไว้ 4 แนวทาง โดยแนวทางแรกคือ การลดต้นทุนการผลิต อย่างน้อย 60% ผ่านการใช้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพพื้นที่และลดการใช้เครื่องจักร แนวทางต่อมาคือ การปรับระบบการปลูกจากการปลูกพันธุ์เดียวไปสู่การปลูกที่หลากหลาย เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และผลิตเพื่อกลุ่มตลาดเฉพาะ เช่น ข้าวพื้นบ้านสำหรับแปรรูป การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งข้อเสนอ ที่เกษตรกรควรมองหาโอกาสจากพืชอื่นที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ถั่วเขียว หรือพืชที่ไทยยังต้องนำเข้า รวมถึงการเชื่อมโยงระบบอาหารกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านการพยากรณ์อากาศจากแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการวิจัยและพัฒนาข้าวพื้นบ้านอย่างจริงจัง ทั้งด้านคุณสมบัติแป้ง วิตามิน หรือศักยภาพในการแปรรูป และที่สำคัญคือ นโยบายภาครัฐ ที่ต้องก้าวข้ามการอุดหนุนระยะสั้น หันมาสร้างระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน เช่น ศูนย์เมล็ดพันธุ์ชุมชน การพัฒนาเครือข่ายตลาดใหม่ และการเสริมศักยภาพเกษตรกรให้แข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง

นาออนไลน์ ขายข้าวบนแพลตฟอร์ม เพื่อลดห่วงโซ่การตลาด ส่งตรงจากผู้ปลูกถึงผู้กิน

อุบล อยู่หว้า กล่าวอีกว่า แนวคิด “นาออนไลน์” หรือการใช้ช่องทางออนไลน์ขายข้าวพื้นบ้านหรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง ส่งเสริมให้ผู้ผลิตเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง แม้ว่าข้าวพื้นบ้านอาจจะยังไม่ใช่คำตอบทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคในตอนนี้ แต่สำหรับเกษตรกรที่ต้องการลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และฟื้นฟูวัฒนธรรมอาหารของตนเอง เมล็ดพันธุ์ที่เคยถูกทิ้งขว้างเหล่านี้ ก็อาจจะกำลังกลับมาเป็นความหวังอีกครั้ง 

ความผันผวนของระบบเกษตรทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงฝีมือของ ดิน ฟ้า และอากาศ แต่รวมถึงพันธุ์ข้าวและตลาดรับซื้อในทุกวันนี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญเช่นกัน ข้าวหอมมะลิที่เคยเป็นความหวัง กลับกลายเป็นข้อจำกัดเนื่องจากอ่อนแอและอ่อนต่อโรค ใช้ต้นทุนสูง และไม่อาจรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ในทางกลับกัน ความหลากหลายของข้าวพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติปรับตัวได้ดีก็ค่อย ๆ หายไปจากท้องนาบ้านเรา ท่ามกลางปัญหาและแรงกดดันหลายด้าน การฟื้นฟูความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ และการสร้างระบบเกษตรที่ยืดหยุ่นจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นเหมือนกับทางรอด ทั้งในแง่ของการลดต้นทุนและการเพิ่มโอกาสให้เกษตรกร เพราะเมล็ดพันธุ์ไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของการเพาะปลูก แต่คือหัวใจของความมั่นคงทางอาหาร และเป็นเส้นชีวิตของระบบเกษตรกรรมทั้งระบบ เพราะถ้าหากไม่มีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและเหมาะสมกับพื้นที่ เกษตรกรก็ไม่สามารถปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที เมื่อไม่มีการสนับสนุนในเชิงวิชาการหรือช่องทางตลาดที่เข้าถึงได้ เกษตรกรก็ต้องถูกบีบให้เลือกทางที่เสี่ยงน้อยที่สุดสำหรับตนเอง แม้จะต้องแลกด้วยต้นทุนสูงและความไม่มั่นคงในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเปราะบางเช่นนี้ รัฐควรทำหน้าที่มากกว่าการแจกเมล็ดพันธุ์หรือการอุดหนุนเงินช่วยเหลือ แต่ควรสร้างระบบที่สนับสนุนการเรียนรู้ การฟื้นฟูภูมิปัญญาพื้นบ้าน และการเข้าถึงตลาดโดยตรง เพื่อให้เกษตรกรบ้านเฮาหรือในทุกพื้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ในระบบต่อไปได้