น้ำท่วมวิกฤติหนัก ชาวบ้านในพื้นที่ ต.เทอดไทย อ.ทุ่งเขาหลวง รวมถึงพื้นที่ติดห้วยนาเดียว นาข้าวได้รับความเสียหายมากว่า 1,000 ไร่ บางจุดท่วมซ้ำแล้วหลายครั้ง ขณะที่ข้าวนาปีและนาปรังบริเวณบ้านบุ่งหวายเชื่อมต่อกับบ้านดอนขะยอม ต.สูงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นบริเวณกว้างมากกว่า 2,300 ไร่ ซึ่งบางจุดน้ำท่วมกินเวลาร่วมเดือน สงผลทำให้ข้าวที่กำลังออกรวงเริ่มเน่าตายอยู่ใต้น้ำ (ชมคลิป)

ขณะเดียวกันพื้นที่ทำการเกษตรนาข้าวของชาวบ้านบาก ต.โพนเมือง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ได้รับความเสียหายจากน้ำในแม่น้ำชี หนุนขึ้นมาท่วมกินเวลาร่วมเดือนเช่นกัน ซึ่งปริมาณน้ำได้เข้าท่วมและกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นายศักดิ์สิทธิ์ โมกอรชร ผู้ใหญ่บ้านบ้านบาก กล่าวว่า ครั้งนี้ก็เป็นรอบแรก เพราะตั้งแต่น้ำท่วมเกือบเดือนก็ยังไม่แห้ง มีลดลงไปบ้าง แต่ปัจจุบันนี้ปริมาณน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นวันละประมาณ 5-10 เซนติเมตร วันก่อนน้ำขึ้นวันละประมาณ 10 เซนติเมตร ช่วงนี้เฉพาะเดือนกันยายน ลดลงนิดเดียวแต่เพิ่มขึ้นมากกว่า พื้นที่นาได้รับความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 350 ไร่ ที่มีการแจ้งไว้ สำหรับพื้นที่ที่ท่วมแล้วก็เสียหายแบบสิ้นเชิงไปเลย ถึงจะมองเห็นต้นข้าวสีเขียว เราไม่ได้ปลูกข้าวเพื่อเอาลำต้น พอน้ำลดลงไป ผลผลิตก็ไม่ได้ พอน้ำลดลงก็เหมือนคนป่วย เหมือนเป็นมะเร็ง ผลผลิตก็จะไม่ได้ (ชมคลิป)

ช่วงกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในแม่น้ำชี ลดลงประมาณ 2-3 เซนติเมตรต่อวัน จนสามารถทำการเพาะปลูกได้ปกติ แต่อย่างไรก็ตามในช่วง ระหว่างวันที่ 20 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา กลับพบว่าปริมาณน้ำเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเป็นรอบที่สองในหลายพื้นที่ ซึ่งคาดการณ์ว่าสาเหตุหลักมาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. ปริมาณน้ำต้นทุนในแม่น้ำชีที่สะสมอยู่สูง 2. อิทธิพลของพายุในช่วงฤดูฝน 3. การระบายน้ำจากเขื่อนในลำน้ำสาขาของแม่น้ำชี รวมไปถึงมติของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ ที่ลงความเห็นว่าจำเป็นต้องมีการระบายน้ำจากเขื่อนหลักในลำน้ำสาขา เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ (ลำน้ำพอง) และ เขื่อนลำปาว เพื่อบริหารจัดการน้ำและรองรับมวลน้ำจากพายุที่กำลังจะมาถึง ทำให้ปริมาณน้ำโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งจนเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและไหลย้อนเข้าสู่ลำห้วยสาขารวมถึงพื้นที่ต่ำในเขตเกษตรกรรม
กรณีที่น่าเป็นห่วงคือพื้นที่ บ้านอีโก่ง ตำบลเทอดไทย อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งประสบปัญหาการไหลของน้ำไม่สะดวกเนื่องจากมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวถูกน้ำท่วมนานและหนักกว่าที่ควรจะเป็น แม้กระทั่งพื้นที่ที่น้ำลดลงไปจนเห็นท้องนาแล้วก็กลับมาถูกน้ำท่วมซ้ำอีกครั้ง สร้างความความเสียหายให้กับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนาข้าว คาดการณ์ว่าได้รับความเสียหายมากกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งเป็นการสูญเสียผลผลิตที่เกษตรกรลงทุนไปทั้งนาปีและนาปรัง

อย่างไรก็ตามความกังวลต่อรูปแบบการบริหารจัดการน้ำในช่วงที่ต้องรับมือกับพายุยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะการระบายน้ำเป็นช่วง ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว สร้างความสับสนและเพิ่มความเสียหายในกับพื้นที่เกษตรของชุมชนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาใช้วิธี ระบายน้ำทีละน้อย ๆ เพื่อลดแรงกระแทกของมวลน้ำต่อพื้นที่ท้ายน้ำ จึงเป็นแนวทางที่ควรนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน จากการเรียนรู้และถอดบทเรียนการเกิดอุทกภัยในปีก่อน ๆ สิ่งที่ภาครัฐควรทำภาครัฐควรเร่งดำเนินการ คือ การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ โดยมีการประสานงานระหว่างกรมชลประทาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานด้านภัยพิบัติ เพื่อกำหนดปริมาณการระบายน้ำที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ควรมีการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนล่วงหน้า ที่สามารถส่งข้อมูลระดับน้ำและการปล่อยน้ำให้ถึงมือเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทันท่วงที แม้ในปัจจุบันจะมีกลุ่มไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่อย่างไรก็ดีการกำหนดมาตรการชดเชยและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรเป็นอีกสิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินการเช่นกัน เช่น การชดเชยความเสียหายด้านรายได้ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับน้ำหลาก เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงในระยะยาว
จับตาพายุบัวลอย ชื่อหวานแต่ขื่นขมสำหรับคนลุ่มน้ำที่ถูกน้ำท่วมซ้ำๆ ทุกปี
สถานการณ์น้ำที่ขึ้นลงอย่างผิดปกตินี้อาจยืดเยื้อต่อไปอีกจนถึงประมาณ เดือน พฤศจิกายน และสิ่งที่สร้างความกังวลสูงสุดในขณะนี้คือการเตรียมรับมือกับ พายุบัวลอย ที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 28-30 กันยายน 2568 ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากพายุลูกนี้เคลื่อนตัวเข้ามา อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำชีเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรง เนื่องจากมีปริมาณน้ำต้นทุนมากอยู่แล้ว ขอให้พี่น้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงริมตลิ่งแม่น้ำชีในจังหวัดร้อยเอ็ดและยโสธร เฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน ป้องกันน้ำทะลักเข้าสู่พื้นที่ชุมชน และขอให้ติดตามประกาศจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณาความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำชีอย่างบูรณาการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากมวลน้ำระลอกใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้

ปภ.ร้อยเอ็ด แจ้งเตือนด่วนที่สุด สถานการณ์น้ำชีล้นตลิ่ง 3 สถานีมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
30 กันยายน 2568 สำนักงนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดร้อยเอ็ด ออกหนังสือด่วนแจ้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ปริมาณน้ำในแม่น้ำชีลิ้นตลิ่ง โดยทั้ง 3 สถานี มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยที่สถานทีบ้านม่วงลาด ต.ม่วงลาด อ.จังหาร ระดับตลิ่ง 11.6 เมตร ระดับน้ำอยู่ที่ 12.03 เมตร สูงกว่าตลิ่ง 0.43 เมตร อยู่ในเกณฑ์วิกฤติและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สถานีบ้านธวัชดินแดง ต.ธงธานี อ.ธวัชบุรี จะดับตลิ่ง 8.50 เมตร ระดับน้ำอยู่ที่ 8.68 เมตร สูงกว่าตลิ่ง 0.18 เมตร อยู่ในเกณฑ์วิกฤติและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่วนสถานีบ้านท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ทุ่งเขาหลวง ระดับตะลิ่ง 9.80 เมตร ระดับน้ำอยู่ที่ 9.54 เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง 0.26 เมตร อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังและมีแนวโฯ้มเพิ่มสูงขึ้น กำชับให้หน่วยงานติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยงลุ่มต่ำริมแม่น้ำ และแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยุ่ใกล้ริมแม่น้ำให้ทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมอพยพ เคลื่อนย้ายสิ่งของได้ทันท่วงที พร้อมติดตาม เฝ้าระวังแนวคันกั้นบริเวณริมแม่น้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อรับน้ำหลากป้องกันชุมชน (อ่านเพิ่มเติม)
