เรื่องและภาพ นิสิตสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของอีสาน “ผ้าทอ” ไม่ใช่เพียงแค่ผืนผ้า แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาของชุมชนที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ผ้าทอไม่ได้เป็นเพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่ยังมีความหมายลึกซึ้งในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การเกิดจนถึงความตาย ผ้าทอถูกใช้ในโอกาสสำคัญ เช่น ผ้าซิ่นของหญิงสาวที่ใช้ในพิธีแต่งงาน ผ้าห่อศพ หรือแม้แต่ผ้าขาวม้าที่ใช้สารพัดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน กระบวนการทอผ้าของชาวอีสานเป็นทั้งศิลปะที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มีลวดลายเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน เช่น ผ้าแพรวาจากกาฬสินธุ์ ที่มีลวดลายละเอียดอ่อน ผ้ามัดหมี่จากขอนแก่น ที่เป็นเอกลักษณ์จากเทคนิคการมัดย้อมเส้นด้ายก่อนทอ หรือผ้าหางกระรอกจากสุรินทร์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อผ้าที่พลิ้วไหวคล้ายผ้าต่างประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้ผ้าทอค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลงจากสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กลายเป็นสินค้าหรูหราที่เข้าถึงได้เฉพาะชนชั้นสูง คนรุ่นใหม่จำนวนมากเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยมีโอกาสได้ใช้หรือสัมผัสผ้าทอในชีวิตจริง ผ้าทอที่เคยเป็นของใช้ใกล้ตัว กลับถูกวางไว้ในพิพิธภัณฑ์หรือร้านหัตถกรรมที่ดูไกลตัวเกินกว่าที่ใครจะหยิบจับมาใช้ แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ มีคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่พยายามพลิกฟื้นและให้ความหมายใหม่กับผ้าทอ พวกเขาไม่ได้มองว่าผ้าทอเป็นเพียงของเก่าแก่ที่ต้องเก็บรักษา แต่เป็น วัสดุที่สามารถพัฒนาและต่อยอดให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้ผ้าทอมีบทบาทในสังคมปัจจุบันและไม่สูญหายไปตามกาลเวลา



ภูมิปัญญา ผ้าทออีสาน กับการสร้างสรรค์ ตกแต่งคาเฟ่สไตร์ ขามเรียง แห่ง มหาสารคาม
ธีรวัฒน์ เจียงคำ เจ้าของร้าน T’taste. Khamriang พูดถึงแนวคิดของเขาในการริเริ่มนำภูมิปัญญาอย่าง ผ้าทอ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งคาเฟ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นชุดความคิดอีกรูปแบบหนึ่งที่พาให้เขาก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ ที่เคยถูกจำกัดไว้
การออกแบบไม่ควรยึดติดกับรูปแบบเดิมจนเกินไป จนไม่สัมพันธ์กับความต้องการใช้งานของคนรุ่นใหม่ แนวคิดที่ดีคือการปล่อยให้วัสดุมีความเป็นตัวของมันเองมากที่สุด เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ได้ที่ตอบสนองการใช้งานและสภาพปัจจุบันของผู้ใช้ ถ้าเรายึดติดกับการทำให้สิ่งของมีลักษณะโบราณมากเกินไป มันก็จะอยู่ได้แค่ในพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้ถูกนำไปใช้งานจริง เมื่อสิ่งของไม่ถูกนำไปใช้งาน มันก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้
ธีรวัฒน์ เจียงคำ เจ้าของร้าน T’taste. Khamriang

ธีรวัฒน์มองว่าผ้าทอไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในรูปแบบของเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น แต่ควรเปิดโอกาสให้ถูกนำไปใช้ในบริบทอื่น เช่น การตกแต่งภายใน การทำเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่การเป็นองค์ประกอบของงานศิลปะ เช่น การนำตีนซิ่นที่มีลวดลายสวยงามมาทำเป็นเชิงผ้าม่าน หรือใช้เศษผ้าทอในการทำเบาะรองนั่ง วิธีคิดเช่นนี้ทำให้ผ้าทอไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของอดีต แต่เป็นวัตถุที่สามารถพัฒนาไปตามยุคสมัยได้
จริง ๆ มันมีคนนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ แต่มันถูกใช้โดยคนที่เขาไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมแบบเดียวกันกับเรา ถ้าถามว่าผ้าทอมันจะต่อยอดเป็นสิ่งอื่นได้อย่างไร มันอาจต้องปลดล็อคความเชื่อของผ้าทอก่อน ถ้าเรามองว่าผ้าก็คือผ้า มีเส้นใย มีลวดลาย มีสีสัน มันอาจจะนำไปสู่การตกแต่งเฟอร์นิเจอร์อะไรทั้งหมดก็ได้ คำพูดของธีรวัฒน์สะท้อนให้เห็นว่า การให้ค่าผ้าทอไว้สูงเกินไปจนไม่มีใครกล้าใช้งาน อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้สิ่งนั้นสูญหายไปจากวิถีชีวิต
การสืบทอดภูมิปัญญาไม่ได้หมายถึงการรักษารูปแบบเดิมไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่หมายถึงการทำให้มันยังคงมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หากคนรุ่นใหม่ยังมองว่าผ้าทอเป็นของไกลตัวและไม่สามารถใช้งานได้จริง สุดท้ายแล้ว มันก็อาจกลายเป็นเพียงของสะสมที่ไม่มีใครแตะต้อง หากต้องการให้ผ้าทอยังคงอยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่ในฐานะมรดกวัฒนธรรม แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตจริง ๆ คนรุ่นใหม่ต้องกล้าที่จะคิดนอกกรอบ นำผ้าทอไปใช้ในรูปแบบที่หลากหลาย และเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะทำให้มันสามารถเดินทางไปพร้อมกับยุคสมัย เพราะหากเรายังคงยึดติดกับกรอบเดิมที่ขังความคิดสร้างสรรค์เอาไว้ ผ้าทออาจจะไม่ได้สูญหายไปเพราะไม่มีใครสานต่อ แต่มันจะเลือนหายไปเพราะไม่มีใครกล้าใช้มันเลยตั้งแต่แรก

การกลับบ้านเพื่อสร้างสรรค์และต่อยอดวัฒนธรรมผ่าน T’Taste.Khamriang
ธีระวัฒน์ เจียงคำ เกิดและเติบโตในบ้านขามเรียง จังหวัดมหาสารคาม เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก่อนจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และกลับมาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประสบการณ์การทำงานของเขาครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่งานเบื้องหลังศิลปิน ออกแบบแฟชั่น ไปจนถึงการออกแบบภายในโรงแรม ความหลากหลายของสายอาชีพทำให้เขามีมุมมองที่แตกต่าง เขามองว่าศิลปะ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจสามารถเชื่อมโยงกันได้ หากมีการปรับให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์คนยุคใหม่
ทุกคนมองว่า ในยุคสมัยนี้คนรุ่นใหม่ต่างมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อแสวงหาโอกาส “การกลับบ้าน” อาจถูกมองว่าเป็นการถอยหลังหรือสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับ พี่ธีร์ ธีระวัฒน์ เจียงคำ แล้วการกลับบ้านเป็นอะไรที่อบอุ่นได้ซึมซับบรรยากาสที่ไร้มลพิษ และดีต่อสุขภาพ และไม่จำเป็นแล้วที่ต้องไปแสวงหาโอกาส แต่สามารถสร้างและต่อยอดโอกาสนั้นบนพื้นที่ของตนเอง ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน พี่ธีร์จึงเห็นโอกาสในการพัฒนาให้พื้นที่แห่งนี้เป็น คาเฟ่ที่ที่เชื่อมโยงกับศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น
จุดเริ่มต้นของ T’Taste.Khamriang เกิดจากความตั้งใจที่จะเปลี่ยนบ้านของตัวเองให้กลายเป็นพื้นที่ที่เพื่อนฝูง อาจารย์ และนักศึกษาสามารถมาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ แนวคิดหลักของร้านคือ “การกลับบ้าน” โดยได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Nostalgia หรือความโหยหาอดีต ซึ่งคล้ายกับแนวทางที่ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเมืองเก่า เช่น เชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งประสบความสำเร็จในการใช้บรรยากาศย้อนยุคเป็นจุดขาย พี่ธีร์นำแนวคิดนี้มาออกแบบร้านให้มี บรรยากาศอบอุ่น ใช้วัสดุที่สะท้อนถึงรากเหง้าของชุมชน และตกแต่งให้เป็นพื้นที่แสดงออกทางศิลปะ การออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงแค่ดึงดูดลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างอัตลักษณ์และมูลค่าเพิ่มให้กับร้าน
พี่ธีร์ไม่ได้สนใจแค่ธุรกิจคาเฟ่ แต่ยังมีความหลงใหลในศิลปะพื้นบ้านโดยเฉพาะ ผ้าทอและการแสดงพื้นเมืองผ้าทอจาวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่แฟชั่นร่วมสมัยหนึ่งในความสนใจหลักของเขาคือ ผ้าทอพื้นเมือง ซึ่งเขาเริ่มศึกษาและทำงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2553 โดยศึกษาประวัติศาสตร์ของผ้าทอในอุบลราชธานีและร้อยเอ็ด เขามองว่าผ้าทอพื้นบ้านมีศักยภาพสูง แต่ขาดการออกแบบที่เหมาะสมกับยุคสมัย ปัญหาของผ้าทอพื้นบ้านไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของงานฝีมือ แต่อยู่ที่การออกแบบที่ยังไม่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทำให้ผ้าทอถูกมองว่าเป็นของสูงค่าเกินไป หรือใช้ได้เฉพาะในโอกาสพิเศษ
ธีระวัฒน์ เจียงคำ จึงเริ่มทดลองนำผ้าทอมาประยุกต์ใช้ใน งานออกแบบตกแต่งภายใน และสร้างแนวคิดว่า “ผ้าทอไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เสื้อผ้า แต่มันสามารถเป็นอะไรก็ได้” ตัวอย่างเช่น การนำตีนซิ่นของผ้าถุงมาตกแต่งเป็นเชิงผ้าม่าน การผสมผสานผ้าทอเข้ากับของใช้ในชีวิตประจำวัน จึงเกิดเป็นคาเฟ่สร้างสรรค์ การหลอมรวมผ้าทอ นาฏศิลป์ และศิลปะเข้ากับวิถีชีวิต กับธุรกิจคาเฟ่T’Taste.Khamriang ตามความตั้งใจที่จะเปลี่ยนบ้านของตัวเองให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะนั้นเอง



เปลี่ยนใต้ถุนบ้าน เป็น คาเฟ่ ที่เก็บรวบรวมวิธีการทอผ้าอีสาน นาฏศิลป์ เเละศิลปะเข้ากับวิถีชีวิต
ธีรวัฒน์ เจียงคำ ได้กล่าวกับผู้เขียนไว้ว่า “ถ้าผู้คนมาที่นี่บ่อยขนาดนี้ ทำไมเราไม่สร้างพื้นที่ให้สวยงามและอบอุ่นสำหรับพวกเขาเสียเลย” และที่นี่คือคาเฟ่ T’taste.Khamriang บ้านขามเรียง ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม แม้คาเฟ่จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ แต่ ผ้าทอ นั้นอยู่ที่นี่มานานแล้ว ใต้ถุนบ้านหลังนี้เป็นแหล่งรวมตัวของคนในชุมชนที่มาทอผ้าในเทศกาลสำคัญ “พี่ธีร์ ธีรวัฒน์ เจียงคำ” เองก็คลุกคลีกับงานผ้าทอ ความหลงใหลในผ้าทอไม่ใช่เพียงแค่การอนุรักษ์ แต่เป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ให้มีมูลค่าเพิ่ม “พี่ธีร์ ธีรวัฒน์ เจียงคำ” ไม่ได้เพียงแค่ศึกษาที่มาของผ้า แต่ยังนำไปต่อยอดสู่งานนาฏศิลป์ที่พี่เขาทำอยู่ การแสดงฟ้อนรำที่เคยมีราคาหลักหมื่น พอเสริมด้วยเครื่องแต่งกายที่ออกแบบและทอขึ้นมาเอง ก็สามารถเพิ่มมูลค่าได้หลายเท่าตัว
เมื่อคาเฟ่และผ้าทออยู่ร่วมกัน มันจึงไม่ได้เป็นเพียงร้านคาเฟ่ธรรมดา แต่กลายเป็นศูนย์รวมของศิลปะ “พี่ธีร์ ธีรวัฒน์ เจียงคำ” มีพื้นฐานด้านการออกแบบและทัศนศิลป์ จึงเริ่มเปิดพื้นที่ให้เป็น แกลเลอรีจัดแสดงผลงาน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือผลงานเกี่ยวกับผ้าทอ นักศึกษาที่มักมาใช้สถานที่แห่งนี้ทำงาน ก็เริ่มนำเสนอไอเดีย และสื่อสิ่งพิมพ์จากนิตยสารสถาปัตยกรรมก็นำเรื่องราวของคาเฟ่ไปเผยแพร่ ทำให้มีผู้คนได้รู้จัก
สิ่งที่ทำให้คาเฟ่ T’taste.Khamriang นี้แตกต่างจากที่อื่นไม่ใช่แค่เครื่องดื่มหรือบรรยากาศ แต่เรื่องราวของใต้ถุนบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงกี่กระทบกัน เรื่องราวของนาฏศิลป์ที่เคลื่อนไหวผ่านผืนผ้าทอ ทุกเส้นด้ายมีเรื่องราว ผู้คนที่เดินทางเข้ามาและพบว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านคาเฟ่ แต่เป็นบ้านอีกหลังที่เปิดต้อนรับทุกคนด้วยหัวใจและได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างจากที่อื่นอีกด้วยครับ




 
     
         
        