ชุมชนมิตรภาพ : คนเปราะบาง กลางเมืองขอนแก่น กับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของโลกและการแก้ปัญหา

ชุมชนมิตรภาพ จ.ขอนแก่น
ชุมชนมิตรภาพ กับ สะพานรถไฟทางคู่ จ.ขอนแก่น

จังหวัดขอนแก่นกับพัฒนาและดึงดูดผู้คนเข้าสู่เมืองหลายยุคสมัย ส่งผลให้เกิดคนจน คนจนเมือง และคนเปราะบาง เนื่องจากความยากจนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองและมีความซับซ้อนหลายมิติ โดยเฉพาะกรณีชุมชนมิตรภาพ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับความหลากหลายของผู้คนและปัญหา ซึ่งความเปราะบางอ่อนไหวของชุมชนเป็นปัญหาใหญ่ที่มีอีกหลาย ๆ ปัญหาซ่อนอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ชุมชนขนาดเล็กของคนจนและคนเปราะบางซุกซ่อนอยู่ในความเป็นเมืองใหญ่ และเครื่องมือที่นำไปสู่การเสริมศักยภาพของชุมชน/ตนเองสู่การออกแบบการแก้ไขปัญหา รวมทั้ง คนจนและคนเปราะบางให้มี “ตัวตน” และมี “เสียง” ที่ถูกยอมรับมากขึ้น ผ่านการเปิด “พื้นที่” ของการพูดคุยโดยท้องถิ่นเพื่อหาทางออกร่วมกัน

ณัฐวุฒิ ภูมิภักดี ผู้ประสานงานพื้นที่โครงการ “ขอนแก่นสุขสนทนา”

ณัฐวุฒิ ภูมิภักดี ผู้ประสานงานพื้นที่โครงการ “ขอนแก่นสุขสนทนา” ภายใต้โครงการประชาสังคมร่วมแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง โดยการสนับสนุนของศูนย์ประชาสังคมและการจัดการองค์กรสาธารณะประโยชน์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และสหภาพยุโรป กล่าวว่า “คนอีสานเป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมการอพยพ วัฒนธรรมของการแสวงหาพื้นที่ใหม่ เพื่อเอาชีวิตรอด มีรายได้ที่มากขึ้น และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เราจะเห็นว่าคนอีสานอยู่ในทุกที่ของประเทศไทย เป็นการดิ้นรนตามวัฒนธรรม “ไทคัว” ของคนอีสานที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เคยเรียนรู้ในประวัติศาสตร์” ในพื้นที่ภาคอีสาน มีคนอีสานในอำเภอ/จังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม “คนจน” ในชนบทและหมู่บ้าน ที่ไม่สามารถได้รับการตอบสนองจากชนบท ทั้งรายได้และความเป็นอยู่ จึงแสวงหาโอกาสใหม่โดยการเข้าเมืองใหญ่ ที่อาจไม่ใช่แค่เมืองกรุงเทพฯ หรือเมืองในภาคตะวันออกเหมือนอดีต ปัจจุบันเมืองหลายแห่งในภาคอีสานมีการเจริญเติบโตมากขึ้น เช่น โคราช ขอนแก่น อุดรธานี กลายเป็นทางเลือกหนึ่งของคนอีสานที่ไม่ต้องการเข้ากรุงเทพฯ จึงเข้าเมืองใหญ่ ๆ ในภาคอีสานแทน

เมืองขอนแก่น

จังหวัดของแก่น พัฒนาและดึงดูดผู้คนเข้าสู่เมืองหลายยุคสมัย

จังหวัดขอนแก่น มีการพัฒนาที่นำไปสู่การดึงคนอีสานในชนบทเข้ามา “แสวงโชค” ในหลายยุค นับตั้งแต่ยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ฉบับที่ 1 ที่นำไปสู่การเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมอีสานกลายเป็น “อุตสาหกรรมเชิงเดี่ยว” ทำให้กลุ่มที่มีกำลังทางเศรษฐกิจเข้าไปซื้อที่ดิน และส่งผลให้เกษตรกรรายเล็กที่ดินหลุดมือไป บางคนสูญเสียที่ดินทำกิน บางคนเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อไม่สามารถประสบความสำเร็จจึงเลือกอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่ในยุคนั้นเพื่อไป “ตั้งหลักใหม่” และพบว่า มีประชาชนอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาในชนบทต้องอพยพเข้าเมือง เช่น กลุ่มคนที่มาพร้อมกับการพัฒนารางรถไฟและการทำไม้หมอนรางรถไฟในเมืองขอนแก่น พัฒนาพื้นที่รถไฟ และตั้งชุมชนบริเวณนั้น ดังนั้น จะเห็นว่า เมืองขอนแก่นได้ดึงคนจนเข้าสู่เมืองมานานราว 40-50 ปี ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ฉบับที่ 1 ทั้งการเข้ามาเป็นแรงงานรางรถไฟ และการเข้ามาเนื่องการการเติบโตของอุตสาหกรรมในเมืองขอนแก่น รวมทั้งภาคบริการที่เริ่มเกิดขึ้น นำไปสู่การค้าแรงงาน การเป็นแรงงานในภาคบริการ และการค้าขายต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนชีวิตที่ไม่ได้สูง เช่น การศึกษา ที่พักอาศัย หรือการเข้าถึงงานที่มั่นคง คนกลุ่มนี้จึงไม่หลุดพ้นออกจากการเป็นคนยากจนในเมืองใหญ่ กลายเป็น “คนจนเมือง” เพราะไม่สามารถยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของตัวเองได้ ตั้งแต่รุ่นตายาย ถึงรุ่นพ่อแม่ และส่งผลต่อรุ่นลูกที่ต้องอยู่ในสภาพชีวิตที่ไม่มั่นคง โดยการไปอาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐ หรือห้องเช่าราคาถูก

ชุมชนมิตรภาพ กับคอนโดมิเนียมกลางเมืองขอนแก่น

ความยากจนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองและมีความซับซ้อนหลายมิติ

โดยการทำงานที่ผ่านมาหากวิเคราะห์เกี่ยวกับการเป็นคนจนเมือง พบว่า มีความยากจนหลายมิติ เช่น มีรายได้น้อย รายได้ไม่มั่นคง เป็นแรงงานรับจ้างรายวัน ไม่มีรายได้รายเดือน ต้องหากินรายวัน และรับจ้างทั่วไป หรือกลุ่มที่ไม่มีที่อยู่อาศัย อยู่ในที่ดินของรัฐและห้องเช่าราคาถูก และกลุ่มที่มีความเปราะบางด้านสิทธิและสวัสดิการ หลายคนไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนและไม่เคยติดต่อด้านทะเบียน หรือเด็กที่เกิดในครอบครัวที่แตกร้าวราว 50 ราย หรือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าสู่บริการสาธารณะขั้นพื้นฐานได้ เช่น ระบบน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภค น้ำดื่มสะอาด การบริการทางด้านสุขภาพ การใช้ทรัพยากรในเมือง หรือการถูกยอมรับในเสียงและตัวตน เช่น การเข้าไปมีบทบาทในระบบการเมืองท้องถิ่น การมีบทบาทในการส่งเสียง เป็นต้น เหล่านี้เป็นเกณฑ์คร่าว ๆ ที่ใช้ในการประเมินภาวะความยากจนในเมือง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ รายได้ และการเข้าถึงโอกาส ทรัพยากร หรือการศึกษาและการหลุดออกจากระบบการศึกษา “การอยู่ในเมืองเป็นระยะเวลานานแต่ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้ ยังเป็นคนจนในเมือง และอาศัยอยู่อย่างไม่มีความมั่นคง”

สภาพน้ำท่วมขังในชุมชนมิตรภาพ

ชุมชนมิตรภาพ เกิดขึ้นพร้อมกับความหลากหลายของผู้คนและปัญหา

ชุมชนมิตรภาพ เป็นชุมชนหนึ่งที่เข้าสู่เมืองช่วงของการพัฒนารางรถไฟ ช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ฉบับที่ 1 “เข้าใจว่าเป็นชุมชนแรก ๆ เมื่อ 30-40 ปีที่แล้วที่ก่อตั้งชุมชนริมทางรถไฟ” แต่ชุมชนมิตรภาพมีความหลากหลายของผู้คนที่เข้ามาในแต่ละยุค คือ ยุคแรก ๆ เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากซอยที่ชื่อว่า “เทพารักษ์ 5” หรือ “ซอย 5” อีกกลุ่มเป็นคนที่อพยพมาเป็นแรงงานเพื่อทำไม้หมอนทางรถไฟ และกลุ่มยุคหลัง ๆ เป็นกลุ่มที่อพยพเร่ร่อนเข้ามาทำมาหากินจากจังหวัดอื่น ๆ หรืออำเภออื่น ๆ นอกตัวเองขอนแก่น ส่งผลให้ชุมชนมิตรภาพกลายเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายของคนที่เข้ามาแต่ละช่วงผ่านการอพยพ “ชุมชนมิตรภาพเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองและอยู่ใกล้กับแหล่งย่านเศรษฐกิจ จึงเป็นพื้นที่การอยู่อาศัยของคนที่ไม่มีที่ไปจำนวนมาก” พบว่า การอาศัยอยู่ของคนกลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่ของการรถไฟ ไม่มีเอกสารสัญญาเช่าพื้นที่ของการรถไฟ จึงเกิดปัญหาความเปราะบางด้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งมีความเปราะบางจากการอาศัยอยู่ในพื้นที่รับน้ำและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำท่วมทุกปี เพราะเป็นร่องระบายน้ำของเมืองและมีน้ำ 3 เส้นทางไหลมารวมกันเป็น “แอ่งน้ำ” ที่น้ำท่วมขังนานและนำไปสู่ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมที่หนักหน่วง “ด้วยการเป็นพื้นที่ไม่มีสัญญาเช่าและอยู่ในความขัดแย้งกับรัฐทำให้การดูแลเอาใจใส่จากกลไกท้องถิ่นเป็นไปได้น้อยมากและยากลำบาก” ส่งผลให้ตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมากลายเป็น “ช่องว่าง” ของเมืองที่พัฒนาไม่ทั่วถึง รวมทั้งการเป็นคนจนและคนเปราะบางในหลายมิติส่งผลให้คนเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ลำบากมาก ทั้งเรื่องของโอกาสในชีวิต อาชีพ รายได้ สภาพแวดล้อม และการมีที่อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี

ความอ่อนไหวของชุมชน มีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่

เราทำงานกับชุมชนมาระดับหนึ่ง งานวิจัยฯ เราอยากชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางอ่อนไหวของชุมชน ที่กำลังเผชิญ เวลาคนพูดถึงชุมชนมิตรภาพจะนึกถึงแต่ปัญหาที่อยู่อาศัย คือ อยู่ในที่ดินรถไฟ และจะถูกรถไฟไล่รื้อ ในปัญหาที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ มันมีปัญหาใหญ่อื่น ๆ ที่เป็นปัญหาพ่วงซ่อนอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะเรื่องของสภาพแวดล้อมกับการรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เป็นผลจากการพัฒนาของเมือง เช่น น้ำท่วม การเข้าไม่ถึงน้ำดื่มสะอาด หรือถูกสุขอนามัย จากขยะ ฯลฯ เนื่องจากชุมชนไม่เคยได้รับการพัฒนาในด้านเหล่านี้ ทั้งการรองรับปัญหา แผนเผชิญเหตุ การจัดการขยะในชุมชน หรืออื่น ๆ ทำให้เด็กและคนในชุมชนต้องอยู่อาศัยภายใต้สภาพแวดล้อมที่แย่และพ่วงกับปัญหาต่าง ๆ แค่จะไปทำงานหากินก็หนักหน่วงแล้ว และยังต้องเผชิญการไล่รื้อที่อยู่อาศัย ฤดูฝนมาน้ำก็จะท่วม เป็นการใช้ชีวิตและการใช้ชีวิตที่ต้องลุ้นท่ามกลางแผนเผชิญเหตุที่ล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ฉะนั้น จึงเป็นประเด็นความเปราะบางอ่อนไหวที่ทีมวิจัยฯ ให้ความสนใจว่า จะทำอย่างไรให้คนในสังคมได้เห็นความเปราะบางอ่อนไหวที่ชุมชนกำลังเผชิญอยู่ภายใต้ความเป็น “เมืองใหญ่” คือ “เรามักจะคิดว่าเมืองใหญ่จะมีการพัฒนาที่ดีขึ้น มีชุมชนที่ทันสมัย กลับเป็นว่าเมืองใหญ่มีชุมชนลักษณะนี้ซุกซ่อนอยู่ และต้องเผชิญกับความเปราะบางทั้งในมิติคุณภาพชีวิต มิติสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ” ซึ่งช่วงที่ผ่านมาทีมวิจัยฯ ได้ลงพื้นที่ทำงานกับชุมชนช่วงที่อากาศร้อน พบว่า การหลบร้อนของชุมชนคือการหลบอยู่ใต้ถุนบ้านที่ผุพัง ใต้ถุนบ้านที่มีน้ำเสียและขยะ กับสภาพอากาศที่ร้อนกลางเมืองและไม่มีต้นไม้ เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าชุมชนกำลังเผชิญกับปัญหาอะไร ขณะที่อีกมุมหนึ่งชุมชนต้องต่อสู้เรื่องที่อยู่อาศัยที่ขัดแย้งกับการรถไฟและต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ ที่โครงการทางรถไฟความเร็วสูงเข้ามาและชุมชนจะต้องถูกอพยพทั้งชุมชน

เครื่องมือที่นำไปสู่การเสริมศักยภาพของชุมชน/ตนเองสู่การออกแบบการแก้ไขปัญหา

จากการศึกษาความเปราะบางของชุมชน พบว่า มีความเปราะบางอ่อนไหวดังกล่าวข้างต้น ทำให้เห็นถึงความเปราะบางต่าง ๆ ที่ชุมชนกำลังเผชิญอยู่ในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องของการปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเมืองโดยคนตัวเล็กตัวน้อย เมื่อเห็นความเปราะบางเหล่านั้นแล้วชุมชนกับทีมวิจัยฯ จะร่วมกันทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการเตรียมตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชน “เราเชื่ออย่างหนึ่งว่างานวิจัยของเราจะไม่นำไปสู่การเป็นงานวิจัยที่ขึ้นหิ้ง” งานวิจัยเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การเสริมศักยภาพของชุมชน/ตนเอง เพื่อนำไปสู่การออกแบบการแก้ไขปัญหา กระบวนการวิจัยร่วมกับชุมชนในการเก็บข้อมูลว่าชุมชนกำลังเผชิญกับความเปราะบางอ่อนไหวอย่างไรในด้านต่าง ๆ “ชุมชนลุกขึ้นมาทำเพื่อให้รู้สถานการณ์ปัญหาของตัวเองให้รู้ว่าจะต้องออกแบบอย่างไร” หลังจากได้ข้อมูลนำไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนากับกลไกท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนได้มีข้อเสนอของตัวเองและการแก้ไขปัญหา การพยายามให้ชุมชนมีศักยภาพ รวมกลุ่ม เสนอข้อมูล และเปิดพื้นที่ของตัวเอง

คนจนและคนเปราะบางมี “ตัวตน” และมี “เสียง” ที่ถูกยอมรับมากขึ้น

นอกจากนั้น ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนสำคัญคือการเสริมศักยภาพแกนนำชุมชนได้มีบทบาทในท้องถิ่น มีการจัดตั้งคณะกรรมการเมือง และมีบทบาทในการเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชน เสียงถูกยอมรับมากขึ้น มีคณะกรรมการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของเขาเอง เกิดขึ้นจากการผลักดันของโครงการ เพื่อถูกยอมรับในการเสนอการแก้ไขปัญหา ชุมชนมีฐานข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ และปัญหาชีวิต เข้าใจปัญหาของตัวเองเพื่อเปิดพื้นที่ต่อรองการแก้ไขปัญหาได้ ภายใต้การทำงานที่ไม่เชื่อว่าจะมีองค์กรหนึ่งแก้ปัญหาเบ็ดเสร็จ จึงทำงานให้เกิดการเปิดพื้นที่และการขยายความคิด การทำงานบนพื้นฐานของความร่วมมือเพื่อเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ไม่ว่าส่วนไหนจะต้องมีพื้นที่แก้ไขปัญหาเสมอหน้ากัน ทั้งรัฐ ท้องถิ่น เอกชน ชุมชน ได้อยู่บนพื้นที่ของการพูดคุยที่เท่าเทียม ในการสร้างข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันใหม่ เปลี่ยนหน้าตาของพื้นที่และเกิดการแก้ไขปัญหา ความเชื่อใจในการแก้ปัญหาทั้งเร่งด่วนและระยาว โดยเฉพาะคนที่เสียงและชุมชนได้พูดและตัดสินใจร่วมด้วย

การพูดถึงผังเมืองจะต้องพูดถึงคนและการมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ผังเมืองส่วนใหญ่ถูกคิดและออกแบบจากนักผังเมือง สถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค จึงแยกขาดจากประชาชน ไม่ค่อยเปิดกว้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และมีศัพท์เทคนิคเฉพาะต่าง ๆ ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ฉะนั้น เวลาผังเมืองเกิดขึ้นจึงไม่ใช้สิ่งที่ชาวบ้านเข้าถึง ผังเมืองเป็นต่อหลักของปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรพื้นที่และทรัพยากร ถ้าผังเมืองออกมาไม่ดีก็นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ และคนรวยเท่านั้นที่รู้ว่าจะทำอะไร รวมถึงการถมที่ดินที่ไม่เข้าใจเรื่องระบบนิเวศ นำไปสู่การเกิดขึ้นของคนจนและกลุ่มที่เข้าไม่ถึงทรัพยากร ที่ผ่านมาผังเมืองถูกออกแบบเพื่อกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ แต่คนจนมีโอกาสเข้าไปช่วงชิงทรัพยากรน้อยมาก ดังนั้น ผังเมืองจะต้องยึดโยงคน คนจนเข้าใจ และใช้ประโยชน์ร่วมกันในการจัดสรรผังเมือง หรือรัฐจะสามารถจัดสรรให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย กลุ่มฟันเฟืองทางเศรษฐกิจเบื้องล่าง ผังเมืองกลับหัวกลับหางและไม่ได้ผ่านจากกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่คำนึงถึงนิเวศนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ทั้งโลกร้อน น้ำท่วม ภูมิอากาศ ผังเมืองจึงมีบทบาทสูงที่จะช่วยกำหนดชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และลดคนจน

ท้องถิ่นไม่มีอำนาจ ก็ออกแบบการแก้ไขปัญหายาก

ส่วนหนึ่งกฎหมายรวมศูนย์จักการที่ตรงกลาง การจะอัพเดตปรับปรุงให้กฎหมายทันสมัยค่อนข้างช้า ผังเมืองมีปัญหาและแก้ไขไม่ทันด้านการรับมือกับประชากร ระบบน้ำ หรือทรัพยากร “อำนาจการจัดการผังเมืองไม่ได้อยู่ที่ท้องถิ่น” ท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการจัดการตนเอง การอนุมัติเรื่องใหญ่ ๆ อำนาจอยู่ที่กระทรวง หรือรัฐบาล ซึ่ง ผังเมืองจังหวัดขอนแก่นอำนาจอยู่ที่สำนักนโยบายและแผน สะท้อนให้เห็นถึงการแยกส่วนและบทบาทของหน่วยงานที่ไม่สอดคล้องกัน “อำนาจจริง ๆ ของคนท้องถิ่นแทบไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมายเลย” ดังนั้น เมื่อเกิดการพัฒนาที่เร็ว เกิดธุรกิจบ้านจัดสรร ธุรกิจคอนโด หรือธุรกิจรองรับคนที่เข้ามาจากสถาบันการศึกษามากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการจัดการกับเส้นทางน้ำที่เป็นไปได้ยาก จึงเกิดการปัญหาเพียงบางจุดเพื่อให้ผ่อนคลายไปก่อน “ท้องถิ่นไม่มีอำนาจก็ออกแบบไม่ได

ปัญหาคนจนเมืองเป็นปัญหาระดับชาติ และเป็นปัญหาระดับโลก

ปัญหาคนจนเมืองเป็นปัญหาระดับชาติ และเป็นปัญหาระดับโลก คนจนมีความหลากหลายในเชิงกายภาพของผู้คน “เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเกิดขึ้นของคนจน คนที่ขาดรายได้ หรือรายได้น้อย เกิดขึ้นจากปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม” หากต้องการแก้จะต้องแก้ทั้งระบบ และเริ่มต้นจากการปฏิรูปหลายส่วน ทั้งระบบสวัสดิการขึ้นพื้นฐานที่เป็นด่านแรก “ความจนเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดจากมิติความเหลื่อมล้ำและการเข้าไม่ถึงทรัพยากร” ต้องปรับรูปแบบของรัฐสวัสดิการให้ดีขึ้น เช่น จัดรายได้พื้นฐานให้ผู้สูงอายุดูแลตัวเองได้ ทำอย่างไรจะมีรายได้พื้นฐานที่ดูแลตัวเองได้และไม่ต้องไปพ่วงลูกหลานวัยทำงาน หรือด้านสวัสดิการทางการศึกษา จะทำอย่างไรให้คนจนมีความสามารถในการเข้าถึงการเรียนหนังสือ ไม่ต้องหลุดออกจากระบบเพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือของการเปลี่ยนระดับและสถานะทางสังคมที่ดีขึ้น ระบบสวัสดิการของรัฐจะเป็นตาข่ายแรกของสังคม ทำอย่างไรคนถึงจะมีรายได้ที่เพียงพอ รวมทั้ง รัฐจะต้องมีวิธีคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้คนท้องถิ่นได้ออกแบบผังเมือง ระบบต่าง ๆ และสวัสดิการต่าง ๆ อำนาจจะต้องถ่ายโอนออกมาจากส่วนกลางพร้อมกับงบประมาณ ให้ท้องถิ่นได้พูดคุยกับชุมชน ไม่ต้องให้ชาวบ้านเข้าไปเรียกร้องถึงกรุงเทพฯ คนท้องถิ่นรู้ว่าพื้นที่ไหนเป็นปัญหาและจะปรับอย่างไรในระยะยาว “ทำให้ระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานของกลุ่มเปราะบางดีขึ้น และกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นได้ออกแบบและจัดการตนเอง”

การเปิด “พื้นที่” ของการพูดคุยโดยท้องถิ่นเพื่อหาทางออกร่วมกัน

นอกจากนั้น สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ/ไม่มั่นคง เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เพราะนโยบายส่วนใหญ่ติดกับการเมือง อนาคตอาจมีคนจนเกิดขึ้นได้สูง เศรษฐกิจไม่ถูกปัญหา คนจนจะเพิ่มมากขึ้น ปากท้องคนจนแย่ลง และเพิ่มกลุ่มคนจนเมืองที่หลุดจากตาข่ายและอาจกลายเป็นคนไร้บ้าน ประเทศต้องใส่ใจมิติชีวิตของผู้คน ไม่ใช่สนใจแต่มิติทางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดช่องว่างของโอกาสผู้คน หากจะใช้กลไกของท้องถิ่นจะต้องใช้วิธีการเปิดพื้นที่ของการพูดคุยกัน ไม่ต้องรองบประมาณ ทำอย่างไรจะเกิดพื้นที่ของความไว้ใจและคุยกัน คุยกับประชาชนที่มีปัญหา ให้มีพื้นที่พูดคุยในปัญหานั้น ๆ และหาดูว่าจะมีช่องทางไหนช่วยเหลือ ไม่ใช่รอให้ประชาชนไปกระตุ้น ภาคพลเมืองจะต้องร่วมกันส่งเสริมการเปิดพื้นที่ของการพูดคุยเพิ่มขึ้น ทำงานร่วมกัน และเชื่อว่าการทำงานของภาคส่วนต่าง ๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องรอเพียงส่วนกลาง ทำอย่างไรจะให้เกิดการพูดคุยและเชื่อมต่อ “เปิดพื้นที่ของการพูดคุยเพื่อให้เห็นปัญหา อะไรขาด อะไรเหลือ ก็มาเติมซึ่งกันและกัน” จะนำไปสู่การเป็นพลังของท้องถิ่น หรืออาจใช้วิธีการทำงานแบบสถานการณ์โควิด-19 ที่ท้องถิ่นระดมเครื่องมือในการรับมือกับปัญหาโดยที่ไม่ได้รอรัฐส่วนกลาง เป็นต้น อย่างไรก็ดี การทำงานตลอดระยะเวลา 3 ปี เมื่อพูดถึงการรับมือสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงเรื่องภูมิอากาศ ไม่ใช่พูดถึงแต่พื้นที่สีเขียว แต่ต้องพูดกับผู้คน มองกลไก และออกแบบวิธีการรับมือและปรับตัวต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น “สร้างกลไกที่เข้าไปรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มองให้เห็นอำนาจมากขึ้นกว่าการรับมือแบบสีเขียว”