เรื่องโดย : สกุลรัตน์ สองจันทร์ ภาพ : อนัญญา ผาบชมภู ,มิ่งขวัญ ถือเหมาะ
เราแทบไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากลางลำแม่น้ำโขงที่กว้างใหญ่จะมีเกาะที่ด้านบนเต็มไปด้วยพืชไร่และสวนผลไม้ที่อุดมสมูบรณ์ ที่นี่เป็นแผ่นดินเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางสายน้ำโขง นี่คือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว หลังจากที่ ได้ยินเรื่องราวของเกาะแห่งหนึ่ง ที่เป็นทั้งแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของชุมชน แหล่งสร้างรายได้ สร้างอาชีพและยังเป็นพื้นที่ที่มีการส่งออกพืชผลทางการเกษตรทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ต้นยาสูบที่มีคุณภาพสูง พริกหลากหลายชนิด มะเขือเทศหลากหลายสายพันธุ์ และพุทรา ดอนน้อย หรือเกาะดอนแตงดอนต่ำ เป็นเกาะดอนที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเกษตรเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปเช่าพื้นที่เพื่อประกอบอาชีพและทำการเกษตรด้วยอัตราค่าเช่าเพียงปีละ 100 บาท เท่านั้น

ชวนรู้จัก ดอนน้อย เกาะกลางแม่น้ำโขง กรรมสิทธิ์ของประเทศไทย ตามอนุสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศษ ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 1926
เมื่อไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสเดินทางไปยัง บ้านท่ามะเฟือง ต.โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย และได้ไป เยี่ยมชมเกาะดอนน้อย (หรือ ดอนแตง) หนึ่งใน 5 เกาะดอนของไทย ที่ตามอนุสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส 1926 (เอกสารอ้างอิง บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 94 )
เกาะกลางน้ำแห่งนี้ถือเป็นขุมทรัพย์ของชุมชนก็ว่าได้ เพราะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรกว่า 2,000 ไร่ สร้างรายได้ และชีวิตให้กับชาวบ้านรุ่นแล้วรุ่นเล่า และหากมองจากริมฝั่งแม่น้ำโขง เราก็จะเห็นภาพของ สวนพริก ยาสูบ และพุทรา ที่เรียงตัวทอดแยวเป็นแถวตามแนวแปลงเกษตรที่ตัดกันสลับไปมาสร้างสีสัน แปลกตาให้กับผู้พบเจอตัดกับความคดโค้งของแม่น้ำโขงที่ทอดยาวสุดสายตา เกาะดอนน้อย เป็นเกาะดินดอนกลางแม่น้ำโขงที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก นอกจากจะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรที่สำคัญแล้วที่นี้ยังเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน กว่า 150 ครัวเรือน พื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการเพาะปลูกยาสูบ พุทรา และพืชระยะสั้นหลากหลายชนิด เช่น มะเขือเทศ ข้าวโพดและพริก แต่สิ่งที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจที่สุด คือ พืชผลที่เจริญเติบโตได้อย่างงดงาม ทั้งพริกหยวกขนาดเท่าฝ่ามือและพืชผลอื่น ๆ ที่ดูแข็งแรงและสมบูรณ์ไร้ที่ติ



แต่ก่อนที่เราจะข้ามไปยัง เกาะดอนน้อย เราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณอภิสิทธิ์ วงค์ศรีแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ได้เล่าถึงความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ ให้เราฟังว่า อาณาบริเวณของตำบลโพนสานั้นมีแนวพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง ด้วยความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร และมีเกาะดอนน้อย หรือ ชื่อทางการที่ภาครัฐชอบเรียกคือ เกาะดอนแตงดอนต่ำ ซึ่งเกิดการทับถมของดินตระกอนและซากพืชซากสัตว์ที่ผัดผ่านมาตามกระแสน้ำโขง ส่งผลทำให้พื้นที่บนเกาะมีความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงเลือกที่จะลงทุนเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจระยะสั้น ที่เมื่อถึงเวลาน้ำขึ้นก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิตพอดี และยังเป็นพืชที่สามารถขายได้ราคาดี มีคนรับซื้อ เป็นศูนย์กลางการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่สำคัญของจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะการปลูกยาสูบที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และยังส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

จากคำบอกเล่าของนายกอภิสิทธิ์ ทำให้เรายิ่งตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้เห็น และแล้วก็มาถึงเวลา ที่เราต้อง เดินทางไปยังเกาะดอนน้อย โดยเรือยาวข้ามฝั่ง ภาพระหว่างที่เราก้าวลงเรือและล่องไปตามสายน้ำโขง กระแสลมเย็น ๆ พัดผ่านใบหน้า ละอองน้ำอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายจากการกระทบกันของกระแสน้ำและพื้นท้องเรือ เสียงเครื่องยนต์ก้องไปทั่วบริเวณ ภาพของดอนดินกลางแม่น้ำโขงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้า พร้อม ๆ กับภาพเครื่องจักรทางการเกษตรของชาวบ้านเริ่มปรากฏให้เราได้เห็นตามแนวเนินดินใกล้ฝั่ง จอดเรียงรายราวกับทิ้งไว้ให้มองเห็นแต่ไกล ๆ
ที่นี่ไม่ใช่แค่พื้นที่ทำเกษตรธรรมดาแน่ ๆ คือสิ่งที่ผู้เขียนแอบคิดอยู่ในใจ เมื่อได้เห็นพืชพรรณ ที่งอกงาม ท่ามกลางกระแสน้ำโขงที่หล่อเลี้ยงดินแดนแห่งนี้ เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างมากที่กลางเกาะ จะเต็มไปด้วยพืชพรรณทางการเกษตรนานาชนิด และทุกอย่างออกผลได้อย่างงดงาม พริกเม็ดใหญ่ และมะเขือเทศสีแดงสด เป็นภาพจำแรกที่เราไปถึงเกาะ สิ่งนี้ทำให้เรารู้ว่าคำพูดของ นายอภิสิทธิ์ แทบจะไม่เกินจริงเลย เพราะบนเกาะนั้นเต็มไปด้วยคนงานที่กำลังเก็บและขนย้ายผลผลิตไปยังเรือยาวที่ กำลังจอดเทียบท่าเพื่อนำไปส่งขายให้แม่ค้าพ่อค้ายังริมฝั่ง นับคร่าว ๆ แล้วน่าจะมีไม่น้อยกว่า 20 กระสอบ
เมื่อสายน้ำเปลี่ยน วิถีชีวิตบนเกาะแม่น้ำโขงจึงเปลี่ยนตาม
เรื่องราวของเกาะดอนน้อยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณพ่ออุทัย โพธิเสน หนึ่งในเกษตรกรของเกาะ ได้เล่าถึง ความเป็นมาของที่นี่ว่า ก่อนหน้านี้เกาะดอนน้อยเคยมีหมู่บ้านชื่อว่า “บ้านดอน” หรือ บ้านดอนน้อย มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 150 หลังคาเรือน โดยที่ดินในพื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ในช่วงระหว่างปี พศ. 2504-2509 ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ทำให้ชาวบ้าน ต้องหนีขึ้นฝั่งเพื่อเอาชีวิตรอดและเนื่องจากน้ำได้พัดพาทรายขึ้นมายังบริเวณเกาะ สภาพพื้นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นดินที่ไม่สามารถใช้เพาะปลูกได้ จึงต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อฟื้นฟูดินและเริ่มต้นเพาะปลูกใหม่
พ่ออุทัย โพธิเสน เกษตรชาวบ้านท่ามะเฟือง ต.โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ชายวัย 63 ปี ที่เติบโตมาพร้อมกับการเกิดเหตุการณ์สำคัญของชุมชน เติบโตมาพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลง และความแปรผันของแม่น้ำโขง ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบกับชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ คุณพ่อเล่าให้ผู้เขียนฟังเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน แม้จะเกิดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและโลกรวนที่รุนแรงขึ้น แต่ปกติแล้วชาวบ้านมักรู้ได้ว่าน้ำจะขึ้นและจะลงเวลาใด รวมทั้งเวลาไหนควรที่จะรีบหนีขึ้นฝั่ง แต่ภายหลังมีการสร้างเขื่อนขึ้นในแม่น้ำโขง ระดับน้ำกลับไม่ได้ขึ้นลงปกติอย่างที่เคยเป็นมา
คำพูดของพ่ออุทัยกลับทำให้เราสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพียงแค่ผลกระทบจากธรรมชาติที่ไม่สามารถ หลีกเลี่ยงได้หรือเป็นผลมาจากการพัฒนาและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืนของมนุษย์ ที่เราต้องเผชิญในปัจจุบัน?


หลังจากที่เราเดินสำรวจผลผลิตภายในสวนและพูดคุยกับเกษตรกรในพื้นที่สักพัก ก็ถึงเวลาที่ต้องขึ้นฝั่งกลับ แต่คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจเกี่ยวกับสาเหตุที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างหนักในปีนี้ยังคงวน เวียนอยู่ในหัวจนไม่อาจหาคำตอบที่ชัดเจนได้ ในระหว่างการนั่งเรือข้ามกลับไปยังฝั่งด้วยเรือของ พ่อปรีชา มีดำเนิน เขาได้เล่าถึงเรื่องราวของตนเองให้เราฟังว่าตนเองนั้นมาเป็นเขยใน ต.โพนสา แห่งนี้มากว่า 30 ปีแล้ว
เกาะนี้เป็นแนวตลิ่งชัน เป็นที่ที่มีเศรษฐกิจดีมาตลอด เพราะดินดี น้ำดี คนที่นี่ส่วนใหญ่เลยปลูกยาสูบกับพุทรา ถึงแม้จะปลูกได้แค่ปีละครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นพืชที่ต้องปลูกทุกปี เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด
ปรีชา มีดำเนิน ชาว ต.โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
ปกติที่นี้จะใช้เวลาราว 1 วัน ในการไถ่พรวนดิน หากสวนใหญ่หน่อยก็จะจ้างคนงานมาไถ่ให้ นอกจากพืชผลทางเกษตร แล้วนั้น เกาะแห่งนี้ยังมีการเลี้ยงวัวอีกด้วย โดยเป็นวัวที่ทางหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง (นปข.) นำมาฝากให้ชาวบ้านดูแล เมื่อวัวโตเต็มที่พวกเขาจะส่งแม่พันธุ์วัวกลับไปให้ชาวบ้านคนอื่นเลี้ยง ส่วนตัวเองจะเก็บลูกวัวรุ่นใหม่ไว้เลี้ยงต่อ เป็นวัฏจักรที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอีกทางหนึ่ง
แต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดน้ำท่วมหนักมากจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นเกาะดอนน้อยได้เลย พืชผลที่ปลูกไว้กว่า 4 ไร่ ก็ตายไปจนหมด แม้แต่วัวที่เลี้ยงก็ต้องใช้เรือในการต้อนกลับฝั่ง ประคับประคองลอยคอข้ามฝั่งกลับมายังแผ่นดินใหญ่จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากพ่ออุทัย พ่อปรีชา และนายกอภิสิทธิ์ ที่ทำให้เรา ตกผลึกคำถามที่อยู่ภายในใจจนได้เข้าใจว่า ท่ามกลางพืชผลทางการเกษตรที่งดงาม พื้นที่แห่งนี้ยังต้องเผชิญ กับภัยพิบัติที่ยากเกินรับมือได้ ทั้งจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและระดับน้ำที่ขึ้นลงอย่างผิดธรรมชาติ ไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรของแม่น้ำโขงเหมือนที่เคยเป็นแต่ถูกกำหนดโดยกลุ่มอำนาจต้นน้ำที่สามารถกักเก็บหรือปล่อยน้ำได้ตามใจชอบ ถึงแม้ว่าแม่น้ำโขงจะเป็นสายน้ำนานาชาติที่ไหลผ่านหลายประเทศ แต่ตอนนี้มันกลับถูกควบคุมด้วยนโยบายที่ชุมชนปลายน้ำไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเป็นธรรม
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อปี พศ. 2567 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภัยบัติน้ำท่วมกินบริเวณกว้างหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เรียบริมฝั่งแม่น้ำโขงและพื้นที่ที่อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ชาวบ้านจำนวนหลายครัวเรือนได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม และหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนัก คือ เกาะดอนน้อย
นายก อบต.โพนสา เล่าว่า หากย้อนกลับไปในสมัยก่อนนั้นคนในชุมชนยังพอที่จะคาดเดาระดับน้ำ ของแม่น้ำโขงได้ แม้ฝนจะตกหนักก็ตามและชาวบ้านก็ยังมีเวลาเตรียมตัวขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ทางการเกษตร วัว ควาย สัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เพื่อหนีน้ำได้ทัน แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปตั้งแต่มีการก่อสร้าง “เขื่อน” ในแม่น้ำโขง จนทำให้การขึ้นลงของน้ำไม่เป็นไปตามปกติอีกต่อไป ปกติแล้วน้ำในเเม่น้ำโขงจะขึ้นได้สูงสุด ไม่เกิน 20 เซนติเมตรต่อวัน แต่เดี๋ยวนี้แค่เขื่อนปล่อยน้ำลงมาเพียงวันเดียว ระดับน้ำในแม่น้ำโขงก็พุ่งขึ้น 1-2 เมตร ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนไม่มีเวลาเพียงพอที่จะหนีย้ายเรือได้ทันเวลา และด้วยระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นชาวบ้านไม่มี เวลาพอจะขนย้ายสิ่งของทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องปั่นไฟ รถไถ วัวควาย รวมถึงการเพาะปลูกที่ลงทุนไปหลายแสนบาท ก็พังพินาศในพริบตา ไร่ยาสูบที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชนเสียหายหนัก ชาวบ้านจึงไม่เพียงสูญเสียแค่พืชผลทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเสียโอกาสทางรายได้อย่างมหาศาล รวมถึงเสียโอกาสในการทำมาหากินไปทั้งฤดูกาลอีกด้วย
ปีหนึ่งเสียหายคนละ 5-10 ไร่ เงินหลักแสนที่หายไป คือ เงินก้อนใหญ่สำหรับชาวบ้าน
อุทัย โพธิเสน ชาวบ้านท่ามะเฟือง ต.โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

เกาะดอนน้อยยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านในตำบลโพนสา สามารถพึ่งพาธรรมชาติในการหล่อเลี้ยงชีวิต แต่วันนี้สิ่งที่ชาวบ้านต้องต่อสู้กลับไม่ใช่แค่เรื่องของสภาพอากาศ แต่เป็นระบบ ที่กดทับผ่านกระแสอำนาจที่ไหลมาพร้อมกับแม่น้ำโขง จากเขื่อนที่ควบคุมน้ำจากต้นทางที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนโดยรอบบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขื่อนปล่อยน้ำ ไร่ยาสูบที่ปลูกไว้ทั้งปีอาจ จมหายไปในพริบตาและหากเขื่อนปล่อยน้ำออกมาน้อยเกินไป ดินก็อาจแห้งจนไม่สามารถทำเกษตรได้เช่นกัน สิ่งที่ชวนคิดต่อ คือ อนาคตของที่ดินผืนนี้จะยังคงเป็น “ที่ดินทำกิน” ของคนรุ่นต่อไปหรือไม่ เพราะหาก สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกาะดอนน้อยจะเผชิญกับอะไรในวันข้างหน้า? คำถามนี้ไม่ใช่เพียงข้อกังวลของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรตระหนักถึง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำโขงไม่ได้ส่งผลกระทบแค่วิถีชีวิตบนเกาะ หากแต่ยังส่งต่อไปถึงระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกัน ทั้งชุมชนต่าง ๆ ในลุ่มน้ำสาขา และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ความแปรผันที่เกิดจะแผ่ขยายไปทั่วทุกภูมิภาคที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำโขงสายนี้ในการดำรงชีวิตอีกด้วย
 
    





 
         
        