กว่า 2 ชั่วโมงที่เดินทางจากตัวเมือง เราได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสความงดงามตลอด 2 วัน 1 คืน ในชุมชนเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าใน ต.ดงลาน ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาสูง มีพื้นที่เกษตรกรรม ที่ทอดยาวสุดสายตา และความเขียวชะอุ่มของป่าต้นน้ำ เสียงนกต่างร้องเรียกต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ประทับใจ และนี่คือ “ดงลาน” ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น เสน่ห์ของดงลาน ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ ทั้งหมดที่กล่าวมายังสะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราว จากภาพเขียนสี มรดกทางโบราณคดีที่สำคัญ ที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันอนุรักษ์ เพื่อไม่ให้มันถูกทำลายไป โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย

ความงดงามของธรรมชาติและวิถีชุมชน สารตั้งต้นสู่การอนุรักษ์
เราอยากเห็นปลายทางว่าอยากให้ชุมชนของเราน่าอยู่ คนในชุมชนอยู่ดีกินดี คนในพื้นที่เองเห็นว่าตนเองเป็น ส่วนหนึ่งของชุมชน ที่นี้ก็จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ก็คือต้องทำให้พวกเขาได้ประโยชน์ จากมันด้วย สัญญา มัครินทร์ หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม ครูสอญอ หนึ่งในผู้ริเริ่มพัฒนาการท่องเที่ยววิถีสีชมพู ให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวที่พาชมความงดงาม และเรียนรู้ความเป็นชุมชน โบราณคดี และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบต่าง ๆ ครูสอญอ เคยเป็นครูสอนเด็กนักเรียนจริง ๆ ในตัวเมืองขอนแก่น ช่วงการระบาด ของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายคนมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดของตน รวมถึงครูสอญอด้วย การกลับบ้านครั้งนั้น นำมาสู่มุมมองใหม่ ๆ ของพื้นที่บ้านเกิด พื้นที่กว้างใหญ่ ความเงียบสงบ และความงามของธรรมชาติ ครูได้จัดกิจกรรมให้พวกเราได้ลองสัมผัสความงดงามของชุมชน ด้วยการพาพวกเราไปปีนเขาเพื่อดูวิว 180 องศา และภาพเขียนสีอายุกว่า 3,000 ปี ที่เป็นไฮไลต์สำคัญของชุมชน
ครูสอญอ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการ เปลี่ยนแปลงชุมชนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ คือช่วงที่ครูได้มีโอกาสกลับบ้าน และมีเวลาในการ สำรวจ บ้านเกิดของตนเอง ทำให้พบเห็นทรัพยากรหลายอย่าง เช่น ภาพเขียนสีโบราณ แหล่งต้นน้ำและ วัฒนธรรมชุมชน

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องไปปีนเขาที่ผาสบนกเพื่อดูวิว 180 องศาของชุมชน
ในระหว่างการเดินทางขึ้นเขานั้นเหมือนกับการได้ท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยระยะทางและความสูงชันของเนินเขา ความสวยงามของภาพชุมชนที่ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดสองข้างทางที่ทำให้เราไม่สามารถ ละสายตาออกไปได้เลย เรามาทำอะไรที่นี่กันแน่ คำถามที่เราถามตัวเองมาตลอดทางเพราะความเหนื่อย และความกลัว กระทั่งขึ้นมาถึงจุดชมวิว ภาพแรกที่มองเห็นตรงหน้าก็คือคำตอบของคำถามเมื่อครู่ เพราะ สิ่งที่เราได้เห็นคือภาพภูเขาที่รายล้อมรอบหมู่บ้านที่ทอดไกลสุดสายตาและความเขียวชอุ่มของพืชพรรณหลากหลายชนิดที่แสดงให้เห็นว่า สถานที่แห่งนี้ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
อีกหนึ่งไฮไลต์ของสีชมพูที่จะพลาดไม่ได้เลยคือ ภาพเขียนสีโบราณ เป็นศิลปะที่มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้ในการบันทึกเรื่องราว การดำรงชีวิต และความเชื่อในยุคนั้น ภาพเขียนเหล่านี้มักจะถูกวาดบนผนังถ้ำหรือหิน เพื่อสะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณ เช่น การล่าสัตว์ หรือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลักฐานอารยธรรมที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสามารถพบได้มากมายในดงลานแห่งนี้ เช่น ผาช้าง ผาวัวแดง เขาผายาว เป็นต้น
เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ไปชมหนึ่งในภาพเขียนสีของดงลาน โดยมีแม่แหม่ม เป็นคนนำทางพาน้อง ๆ นักเรียนและเรา เพื่อที่จะไปยังจุดที่มีภาพเขียนสี การเดินทางเริ่มต้นจากการเดินผ่านไร่อ้อย ที่กำลังเจริญงอกงามก่อนที่จะขึ้นเขาไปยังผาช้าง ซึ่งมีระยะทางไม่ไกลมากนัก มีต้นไม้ เถาวัลย์เต็มสองข้างทางเดิน ที่แทบจะมองไม่ออกว่าสามารถเดินขึ้นไปได้ แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ที่เคารพและไม่รบกวนธรรมชาติ มากเกินไป ความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ยังเป็นที่อยู่ของนกอินทรีย์ และพืชหายากบางชนิด ที่สามารถ พบได้เฉพาะในพื้นที่นี้อีกด้วย


ผาช้าง ชื่อจากลักษณะของภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับรูปร่างของช้าง
เมื่อสังเกตจากภาพของถ้ำที่เราพบในพื้นที่นั้น จะเห็นลักษณะของภูเขาที่เหมือนกับ งวงช้าง และมีสันเขา ที่โค้งคล้ายกับหลังช้างรวมทั้งยังมีลักษณะของ ขาช้างที่ปรากฏอยู่ในภาพ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อพื้นที่นี้ว่า “ผาช้าง” ทั้งยังเป็นแหล่งมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีความสำคัญ โดยเชื่อว่าเคยเป็นแหล่งอาศัย ของมนุษย์และสัตว์ใหญ่ในอดีต เช่น ช้าง สอดคล้องกับหลักฐานจากซากหิน และร่องรอยทางน้ำที่พบในพื้นที่ การค้นพบภาพเขียนสีโบราณในผาช้างทำให้ชาวบ้านตระหนักถึงคุณค่าของสถานที่นี้ และเพิ่มความสนใจใน การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่กรมศิลปากร สำนักงานที่ 8 ให้ข้อมูลว่ามีอายุยาวนานกว่า 3,000 ปี แม่แหม่มเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนรุ่นพ่อรุ่นแม่ มีช้างเคยอยู่พื้นที่ตรงนี้แต่ก่อนเป็นแหล่งภูท้องช้าง เป็นเขตของช้าง และผาช้างก็บ่งบอกถึงการมีอยู่ของช้างตัวตัวเมีย ดูลักษณะจากรูปร่างตัวเมียจะอ้วน ๆ ตัวผู้จะก้นลีบเล็ก อดีตคงเป็นหัวหน้าเผ่าที่พากันไล่ล่า และสีที่เขาใช้เอามาเขียนคือแร่ฮีมาไทต์ ผสมยางไม้ ยางสัตว์ ทำให้สีอยู่ได้นานจนถึงปัจจุบัน
การค้นพบภาพเขียนสีเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานสำคัญทางวัฒนธรรม แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ วิถีชีวิตระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในอดีต ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต แต่สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ในปัจจุบัน จดจำความเป็นความทรงจำ และอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อ ไปในอนาคต ได้อีกด้วย
วันที่สอง : น้ำตกคอยนางสายน้ำแห่งชีวิต
เริ่มต้นเช้าวันที่ 2 ด้วยกิจกรรมส่องนก น้อง ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมได้เล่าให้เราฟังว่า ที่ดงลานแห่งนี้สามารถ มองเห็นนกได้มากกว่า 18 ชนิดในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง เนื่องจากที่นี่มีแหล่งน้ำและอาหาร ที่เหมาะสม แก่การอยู่อาศัยของมัน เป็นกิจกรรมที่ตื่นตาตื่นใจ เหมาะกับการเริ่มต้นของวันใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ การไปเป็นนักสืบสายน้ำได้ดีเลยทีเดียว
มาถึงกิจกรรมหลักในวันนี้ที่เราได้ไปร่วมกับน้อง ๆ นักเรียนที่น้ำตกคอยนาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชน เป็นน้ำที่นี่ไหลมาจากอ่างเก็บน้ำผาสบนก กิจกรรม “นักสืบสายน้ำ” คือ กระบวนการการเรียนรู้จาก ธรรมชาติรูปแบบหนึ่ง ที่ทุกคนจะได้ลองมาเป็นนักวิทยาศสตร์ค่อยสืบหาเบาะแสของน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วของน้ำ ระดับน้ำและสำรวจเพื่อค้นหาว่าแหล่งน้ำที่นี่มีสิ่งมีชีวิตอะไรอาศัยอยู่บ้าง จากกิจกรรมนี้ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจมาก คือการพบตัวอ่อนของ “แมลงชีปะขาว” ซึ่งแมลงตัวนี้ กรมประมงและมูลนิธิโลกสีเขียว ให้ข้อมูลไว้ว่า แมลงชีปะขาว จะเลือกวางไข่ เฉพาะบริเวณ แหล่งน้ำที่มีความสะอาด ไม่มีสารเจือปนเท่านั้น และเรายังพบว่าบริเวณแหล่งน้ำของที่นี้มี “กบ” อาศัยอยู่ แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคือกบชนิดใด แต่กบถือเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพน้ำที่สำคัญ เนื่องจาก พวกมันไวต่อ สารพิษและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก การที่บริเวณแห่งนี้ มีกบอาศัยอยู่ จึงยืนยัน ได้ว่าแหล่งน้ำแห่งนี้มีความสมบูรณ์และมีคุณภาพน้ำที่ดี (ข้อมูลจาก : www.savefrogs.com)
แม่นาง ศรินาฎ อัปมาไห หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายกลุ่มรักษ์ดงลาน เล่าว่า น้ำตกคอยนางจะไหลมาจาก อ่างเก็บน้ำเขาสบนก ไหลลงมาที่อ่างเก็บน้ำเขาสพยา แล้วก็ไหลผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านได้ใช้ในการเกษตร ก่อนไหลลงไปยังลำน้ำพอง ซึ่งจะมีชาวบ้านเอาน้ำมาใช้ทำการเกษตรอยู่เป็นจุด ๆ ไป ปัจจุบันก็มีนักท่องเที่ยว ชาวบ้านมาใช้พื้นที่น้ำตกแห่งนี้ในการพักผ่อน ถ่ายรูป กันเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าสายน้ำที่อุดมสมบูรณ์มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ตั้งแต่การใช้ ในชีวิตประจำวัน การเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ไปจนถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ ชุมชนอีกด้วย กิจกรรมนักสืบสายน้ำจึงเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เราได้ตระหนัก ถึงคุณค่าของสายน้ำ และความ สัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันอนุรักษ์ และปกป้องทรัพยากรเหล่านี้ เพื่อให้ธรรมชาติอันงดงามยังคงอยู่ต่อไปในอนาคตนั่นเอง
ครูสอญอ เล่าต่อว่า ชุมชนยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อรองรับและตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังสามารถร่วมออกแบบกิจกรรมกับชุมชนได้อีกด้วย ต้องชวนต่อนะว่าสนใจประเด็นไหน มาพักกับโฮมสเตย์ก็จะได้สัมผัสความเป็นวิถีชาวบ้าน ถ้าสนใจประเด็นเรื่องการขับเคลื่อนชุมชนหรือ งานพัฒนา งานด้านการต่อสู้ของชาวบ้าน เราก็จะพาไปหาตัวละครที่เกี่ยวข้องกับชาวบ้านครับ ก็ออกแบบ ร่วมกันได้ว่า สนใจประเด็นไหน อย่างไร
ความคาดหวังของชุมชนจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่
การให้คนที่เข้ามาสัมผัสชุมชนได้รับประสบการณ์ตรงจากธรรมชาติ เช่น สัมผัสสายลม แสงแดด หรือภูมิทัศน์ อันงดงามที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ซึ่งจะกระตุ้นความรู้สึกเชิงบวกในตัวเขา จากนั้นเมื่อได้รับข้อมูลหรือเรื่องราว เกี่ยวกับชุมชนเพิ่มเติม ก็จะเกิดการรับรู้และเข้าใจคุณค่าของสิ่งที่เห็น หากรู้สึกดี ก็อาจส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ ไปยังคนอื่น ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในขั้นแรก
สิ่งที่เราหวังไว้คืออยากให้คนที่มา ได้มีประสบการณ์ตรง เห็นธรรมชาติ รับลม แสงแดด แล้วรู้สึกกับสิ่ง ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเขารับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเราหวังว่าเขาจะประทับใจและถ้ารู้สึกดี เขาจะบอกต่อ อนาคต เราฝันอยากเห็นทุกคนลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อธรรมชาติ เช่น อาจไม่ต้องเหมือนเราทุกอย่าง แต่ช่วยกันปกป้อง พัฒนา และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เพื่อที่ชุมชนจะได้เป็นที่ที่ทุกคนอยู่อย่างมีความหมายจริง ๆ ครับ




กิจกรรมท่องเที่ยวสีชมพู เครื่องมือสร้างพลัง เพื่อปกป้องทรัพยากรชุมชน
ชุมชนมองว่าการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างพลังให้กับคนในชุมชนเองให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่มี และยังเป็นวิธีที่ช่วยให้คนภายนอกได้มองเห็นความงามของชุมชน พร้อมช่วยกันสื่อสารและบอกต่อให้คนอื่น ได้รับรู้ การได้เห็นความงดงามนี้อาจกระตุ้นให้เขาอยากมาสัมผัสและเข้าใจมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน การศึกษา ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดการให้ความรู้ และปลูกจิตสำนึกให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่า และปัญหาที่ชุมชนเผชิญ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ชุมชนตั้งใจทำมาตลอด 3-4 ปี และพร้อมเดินหน้าทำต่อไป ในระยะยาว เพื่อให้ความฝันในการอนุรักษ์ธรรมชาติกลายเป็นจริง ไม่เพียงเพื่อการดำรงชีวิต แต่ยังเพื่อฟื้นฟู ธรรมชาติและสร้างความงดงามให้ยั่งยืน
บรรยากาศอันงดงามของธรรมชาติในพื้นที่นี้ ไม่เพียงแต่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน แต่ยังทำให้ หลายคนตกหลุมรักและกลับมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ ครูสอญอ เล่าว่า การท่องเที่ยวถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญ ของคนในชุมชน รองจากอาชีพหลัก “เราเคยพยายามเก็บข้อมูลนะครับ ในปีแรก ๆ รายได้จากการท่องเที่ยว อยู่ที่หลักแสนบาท แต่ในช่วงหลัง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาทแล้ว ทั้งนี้ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ทำโฮมสเตย์ และธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ หากรวมรายได้ทั้งหมดก็คิดว่าอาจสูงถึงสิบล้านบาทต่อปีเลยครับ”
อย่างไรก็ตามแม้ที่นี่จะถูกรายล้อมด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ชุมชนกลับต้องเผชิญปัญหา จากการขอสัปทานเหมืองหินและกิจการโรงโม่หินที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนัก ทั้งต่อการท่องเที่ยว สุขภาพของชาวบ้าน การเกษตร และสภาพถนนที่ชำรุดเสียหาย นอกจากนี้การทำเหมือง ยังสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ เช่น การทำลายแหล่งน้ำ เราเสียแหล่งน้ำไปเพราะการระเบิดเหมืองหิน การระเบิดทำลายโครงสร้างหินใต้ดิน ส่งผลให้น้ำบาดาลที่เคยหาเจอได้ง่ายที่ความลึก 30 เมตร ปัจจุบัน ต้องขุดลึกถึง 70 เมตรหรือมากกว่านั้น แต่บางพื้นที่ก็ยังไม่พบ การสูญเสียชั้นน้ำใต้ดินทำให้พื้นที่แห้งแล้ง เสื่อมโทรม และไม่สามารถรักษาความสมดุลทางธรรมชาติได้เหมือนเดิม
นอกจากนี้การทำเหมืองหินสามารถส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในชุมชนอย่างรุนแรง เนื่องจากกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะและระเบิดหินส่งผลต่อบรรยากาศธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนพื้นที่ หากภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมถูกทำลายจากการทำเหมือง เช่น ต้นไม้ถูกโค่นทำลาย แหล่งน้ำถูกทำลาย หรือมีมลพิษจากฝุ่นละอองจากการระเบิด จะทำให้ภาพรวมของ พื้นที่เสียหาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ต้องการประสบปัญหานั้น ในขณะเดินทางเพื่อสัมผัส ธรรมชาติที่บริสุทธิ์และงดงาม
“เมื่อเรานำเสนอธรรมชาติที่ถูกทำลายเช่นนี้ นักท่องเที่ยวคงไม่อยากมาเยี่ยมชม เพราะแทนที่จะได้สัมผัส ความงดงาม พวกเขากลับต้องเจอฝุ่นและผลกระทบอื่น ๆ แทน ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เราพยายามนำเสนอครับ”
สัญญา มัครินทร์

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนที่ดีที่สุดคือการทำให้ทุกคนรับรู้คุณค่าและความสำคัญของมัน การท่องเที่ยวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ผ่านการศึกษาและเรียนรู้ระบบนิเวศในพื้นที่ เพื่อให้ผู้มาเยือนกลับไปพร้อมความประทับใจและเรื่องราวของชุมชน ซึ่งทุกคนสามารถร่วมเป็นผู้อนุรักษ์ได้ ความเข้มแข็งของเครือข่ายในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาชุมชนดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ทั้งชุมชนท้องถิ่น สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษา ทั้งจากการร่วมมือ การพูดคุย และการเรียกร้องต่อสิทธิของตนเอง รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลไปสู่สาธารณะของสื่อ เพื่อสะท้อนปัญหา ที่เกิดขึ้นในชุมชนออกไปให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้ พร้อมกับสร้างแรงสนับสนุนจากภายนอกให้เข้ามามี ส่วนร่วมในกระบวนการอนุรักษ์ การสื่อสาร ยังช่วยตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกเลยคือภูเขาเราไม่สามารถทำเองได้ เศษหิน ดินทราย เราไม่สามารถทำได้ ถ้าหญ้า เราปลูกมันก็ยังขึ้น แต่อากาศเราก็ไม่สามารถผลิตเองได้ มันจะยิ่งน่าเสียใจขนาดไหนถ้าเราต้องใช้ชีวิตกับ อากาศที่มันปนเปื้อน มีแต่ควัน เรามองเห็นว่าการที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันได้เป็นผลดีแค่ในชุมชนหรืออำเภอ ของเรา มันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยคนทั้งโลกได้เหมือนกันก็อยากบอกให้เข้าใจตรงนี้
เพียงเพราะผลประโยชน์ของคนเพียงบางกลุ่มเหตุใดจึงมีอภิสิทธิ์เข้ามาทำลายความงดงามของธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชุมชน หากเหมืองหินได้รับอนุมัติให้ขอสัปทานในครั้งนี้ใครคือผู้ที่จะรับผิดชอบต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้น? ทรัพยากรที่ทุกคนในชุมชนต่างเฝ้าหวงแหนเพื่อให้ลูกหลานของตนได้ใช้สืบต่อไป สมควรต้องถูกทำลายเพราะผลประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวจริง ๆ หรือ




