“ทำไมองค์ความรู้ดี ๆ ต้องอยู่แค่ในหัวเมือง?”
กุลชาติ เค้นา
นี่คือคำถามสำคัญที่ กุล กุลชาติ เค้นา ลูกหลานไทภูผาม่าน โดยกำเนิด ก่อนจะออกเดินทางแสวงหาความรู้ และทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะการเขียนเว็บไซต์และโลกออนไลน์ จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจกลับถิ่นฐานบ้านเกิดโดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบการร้านกาแฟเล็ก ๆ ชื่อว่า ฟาร์มคิด และร่วมกันก่อตั้งเพจ วิวผาม่าน ขึ้น เพื่อใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร บอกเล่าเรื่องราว ความงดงาม วิถีแห่งไทภูผาม่าน จนสามารถเปิดตลาดการท่องเที่ยวให้กับภูผาม่านได้คึกครื้น มีท่องเที่ยวหลั่งไหล พร้อม ๆ กับการเติบโตของธุรกิจในชุมชนอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลักดัน พร้อมเป้าหมายสำคัญที่เขาตั้งใจไว้คือ การทำให้ทุก ๆ ชุมชน มีเยาวชนที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อประโยชน์ของชุมชนตัวเองให้ได้
เขาไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้ประกอบการ แต่วางจุดยืนของตัวเองเป็น “นักพัฒนาชุมชน” เพราะสิ่งที่กุลชาติกำลังทำก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าที่บ้านของเราก็ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ และเชื่อว่าอุดมการณ์สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับพื้นที่ชนบทได้ ภูผาม่านไม่ได้มีเพียงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังมีเอกลักษณ์ที่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าคุณจะมาชมฝูงค้างคาวที่บินออกจากถ้ำยามเย็น ฟังเสียงน้ำตก หรือแค่เพียงนั่งมองภูเขาและท้องฟ้า ภูผาม่านก็พร้อมโอบกอดผู้มาเยือน พักใจจากความวุ่นวาย และมอบประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือน

“ฟาร์มคิด” จุดเริ่มต้นของร้านกาแฟเพื่อคนไทบ้าน
ภูผาม่านอาจดูเหมือนอำเภอเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก แต่พี่กุลเห็นศักยภาพเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นในชุมชนเขาเริ่มจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า “ทำไมคนไทบ้านต้องไปนั่งร้านกาแฟสะดวกซื้อ?” ร้านกาแฟของพี่กุลเปิดในพื้นที่ของตำบลภูผาม่าน อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น ให้คนในชุมชนได้มานั่งทำงาน ผ่อนคลายสบาย ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา หรือพบปะพูดคุยกัน โดยไม่ต้องเกร็งเหมือนอยู่ในร้านกาแฟเมืองใหญ่ ร้านของพี่กุลจึงไม่ได้มีเป้าหมายแค่ขายกาแฟ แต่คือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ลูกค้าทุกคนได้ใช้เวลาอย่างสบายใจ “ร้านกาแฟเราไม่ได้มีวัตถุดิบพิเศษอะไร แต่ร้านของเราสามารสร้างประสบการณ์ที่พิเศษได้” ธุรกิจร้านกาแฟนั้นคล้ายกันกับร้านตัดผม หากลูกค้าเกิดความไว้ใจก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ต้องเปลี่ยนใจไปจากร้านเดิม ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าในฐานะคนในพื้นที่เดียวกัน เป็นข้อได้เปรียบที่นายทุนจากเมืองใหญ่ไม่มี ลูกค้าที่ร้านมีทั้งชาวบ้าน ชาวนา คนขับรถบรรทุก อีกทั้งราคากาแฟในร้านเขาถูกกว่าเจ้าอื่น แต่ยังสามารถสร้างกำไรได้ โดยมุ่งเน้นการมีทีมงานเล็ก ๆ ที่บริหารจัดการกันได้ง่าย

เทคไทบ้าน : การยกระดับภูผาม่านด้วยเทคโนโลยี
“เทคโนโลยีอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง แต่ไทบ้านเรามองไม่ค่อยออกว่ามันจะใช้กับเทคโนโลยียังไง”
ก่อนจะมาเป็นธุรกิจที่ลงตัวก็ผ่านความล้มเหลวมามาก จนกลับมาทบทวนกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว ภูผาม่าน เอกลักษณ์จริง ๆ ของมันคืออะไร ธุรกิจอะไรที่เหมาะกับตัวเอง ด้านการพัฒนาสินค้าก็ให้ทีมออกแบบคิดว่าจะยกระดับสินค้าท้องถิ่นได้ยังไง ทำไมเราจะขายแบบที่อื่นขายไม่ได้ทั้งที่ภูผาม่านก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองเช่นกัน พี่กุลอธิบายถึงจุดเด่นของพื้นที่ที่สามารถปลูกผักปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างธุรกิจชุมชนได้ แต่การทำธุรกิจในชุมชนไม่ใช่แค่การผลิตสินค้า เขาเน้นย้ำว่าธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต้องมี operation ที่ชัดเจน ต้องมีกระบวนการจัดการที่ดี ตั้งแต่การคิดไอเดีย สื่อสารกับลูกค้า การบริหารสต็อก ไปจนถึงการทำการตลาด ชาวบ้านหลายคนมีสินค้าที่ดี แต่ขาดความเข้าใจเรื่องความคาดหวังของผู้บริโภค พี่กุลเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นในการเชื่อมโยงระหว่างความรู้ด้านเทคโนโลยีกับการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน ด้วยจริตที่เป็นมิตรต่อผู้คนและเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในระดับชุมชนและระดับชาติ เขามุ่งมั่นให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงความก้าวหน้าของเมืองใหญ่ แต่เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีสามารถเป็นสะพานเชื่อมสู่ความเท่าเทียมและความยั่งยืนในชุมชนได้ ดังนั้นพี่กุลและทีมจึงมีหน้าที่เป็นตัวกลางวางระบบ กระจายความรู้ ยกระดับสินค้าชุมชนสู่การทำธุรกิจให้ได้




การพัฒนาชุมชนก็เหมือนการจัดการบริษัท ถ้าไม่มีทีมที่ทำงานหน้างานจริง ทุกอย่างก็เป็นแค่ไอเดีย
นอกจากร้านกาแฟ พี่กุลยังตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับชุมชนด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยความที่พี่กุลมีประสบการณ์ทำงานเป็น UX/UI Design ทำให้มีทักษะดิจิทัล และได้เห็นมุมมองความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงได้ พี่กุลก่อตั้ง “เทคไทบ้าน” เพจที่ส่งเสริมศักยภาพด้านทักษะดิจิทัลในระดับชุมชน เพื่อเชื่อมองค์ความรู้ด้านการออกแบบและเทคโนโลยีกับชุมชน โดยหวังให้ชาวบ้านสามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้
“เทคไทบ้าน” ตั้งเป้าหมายให้เทคไทบ้านเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในชุมชนเข้ากับองค์ความรู้ระดับโลก พี่กุลเล่าว่ามีองค์กรดิจิทัลระดับประเทศติดต่อมาร่วมงาน เพราะเห็นว่าโมเดลการทำงานของเขาสามารถลดความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีได้นอกจากนี้ เทคไทบ้านยังมีแนวคิดที่มุ่งเน้นการทำธุรกิจเพื่อสังคม โดยการนำของดีในชุมชน เช่น ผักอินทรีย์ และสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น มาปรับปรุงแพ็คเกจ และวางระบบการขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน นอกจากนี้เทคไทบ้านยังส่งเสริมคนท้องถิ่นให้มีบทบาทด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น พี่กุลให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนา อย่างเด็กมัธยมที่มีความรู้ด้านไอที มอบทุนสนับสนุน และฝึกทักษะให้พวกเขาแก้ปัญหาในชุมชน เช่น การสอนผู้สูงอายุใช้มือถือ การป้องกันการโกงเงิน หรือการสร้างเพจสำหรับธุรกิจชุมชน หรือในขอบข่ายที่กว้างขึ้น ในอนาคตเทคไทบ้านมีแผนที่จะออกแบบระบบน้ำรียูส หรือการพัฒนาระบบตอบแชตอัตโนมัติให้ธุรกิจชุมชน ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกเทคโนโลยี แต่ทีมเบื้องหลังอย่างเทคไทบ้านพร้อมสนับสนุน “ถ้าคุณมาร่วมงานกับเรา คุณจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับความรู้ของคนในชุมชนได้”
เป้าหมายองค์กรระดับโลกคือ เขาต้องการจะเติบโต แต่หากไม่มีแรงงานเพื่อช่วยพัฒนาองค์กรก็ไม่สามารถก้าวต่อไปได้ ดังนั้นเทคไทบ้านมีหน้าที่เตรียมพร้อมทักษะด้านดิจิทัลให้กับชุมชน เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงเทคโนโลยี และนำพา local ไปสู่ global ได้ในที่สุด

“ความยั่งยืน” ที่ไม่ต้องแบกโลกไว้คนเดียว
เมื่อถูกถามว่าธุรกิจของเขาจะอยู่ตลอดไปหรือไม่ พี่กุลตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่อินกับการอยู่ตลอดไป ทุกคนควรมีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้าพังก็พัง แล้วเรียนรู้ว่าพังเพราะอะไร” พี่กุลเน้นย้ำว่าความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเขาเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ และร่วมกันพัฒนาขึ้นไปของทั้งชุมชน
เรื่องบางเรื่องพยายามผลักดันยังไงก็ไม่เกิด ถ้าจังหวะและเวลามันไม่ใช่ คนมองไม่เห็นคุณค่า เพราะไม่ได้รับผลกระทบกับตัวเอง สื่อสารได้เท่าที่สื่อสาร การแบกอะไรไว้คนเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกเรื่อง ความท้าทายหลัก คือ การทำให้ชุมชนเข้าใจความคาดหวังของผู้บริโภคและปรับตัวให้เข้ากับตลาด ตัวอย่างเช่น ร้านขายอาหารสดในชุมชนที่ต้องปรับเรื่องความสะอาดและคุณภาพเพื่อดึงดูดลูกค้า พี่กุลตั้งเป้าว่าปีหน้าจะเริ่มโครงการฝึกอบรมชาวบ้านเรื่องการเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่น ในระยะยาววางแผนขยายแนวคิดการพัฒนาชุมชนไปสู่ระดับโลก โดยเชื่อมต่อกับองค์กรระดับนานาชาติที่มีภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีและส่งเสริมความรู้ด้านการออกแบบ
“เราไม่ได้ต้องการอยู่ตลอดไป แต่ต้องการสร้างระบบที่ชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้” กุล กุลชาติกล่าวปิดท้าย พร้อมเสริมว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคือการเห็นชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยมือของคนในชุมชนเอง

เรื่องราวของกุล กุลชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจหรือเทคโนโลยี พี่กุลไม่ได้มองภูผาม่านเป็นแค่ธุรกิจของตัวเองคนเดียว แต่มองไปถึงธุรกิจที่ชุมชนสามารถนำมาใช้เลี้ยงชีพ พัฒนาเอกลักษณ์ของภูผาม่านให้คนภายนอกได้รู้จัก เป็นตัวอย่างของการกลับมามองชุมชนในฐานะรากฐานของทุกสิ่ง การทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งกำไรสูงสุด เป็นการสร้างสมดุลระหว่างคนในชุมชน เทคโนโลยี และทรัพยากรท้องถิ่น ถือเป็นแรงบันดาลใจที่ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จในบ้านเกิดไม่ได้เป็นแค่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง
“ถ้าชุมชนของเราเข้มแข็ง เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพานายทุนจากภายนอก”
กุลชาติ เค้นา
กุล กุลชาติ อาจเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ในพื้นที่ชนบท แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความตั้งใจ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงชุมชนจากรากฐานนั้นเป็นไปได้ สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง และอาจนำไปสู่การพัฒนาสังคมในระดับที่กว้างขึ้นในอนาคต